วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ตำนานล้านนาวันลอยกระทง !!


        เราชื่อจิตราเป็นครูสอนในโรงเรียนระดับประถมศึกษาเด็กนักเรียนที่เรารับผิดชอบ 2 คือชั้นประถมศึกษาปีที่๔ซึ่งเด็กๆจะมีอายุเฉลี่ยประมาณ 10 ขวบเราจบครูระดับประกาศนียบัตรชั้นสูงวิชาเอกสังคมศึกษาและพ่อมาสอนที่โรงเรียนจริงๆเราต้องสอนเกือบทุกวิชาทั้งวิชาคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์สังคมศึกษาภาษาไทยและกระทั่งวิชาว่าเขียนเราก็ต้องสอนแต่ก็จะมีครูเฉพาะในบางวิชาเช่นรู้ภาษาอังกฤษและครูพลศึกษาที่มาช่วยสอนเป็นบางชั่วโมง ช่วงนี้เป็นภาคเรียนที่ 2 ซึ่งจะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงมีนาคมเดือนนี้เป็นเดือนพฤศจิกายนซึ่งทุกๆปีเดือนนี้ก็จะมีประเพณีที่สำคัญประเพณีหนึ่งของคนไทยนั่นก็คือประเพณีลอยกระทงซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 ปีนี้ก็เหมือนเช่นเคยเพราะใกล้จะถึงวันลอยกระทงทั้งโรงเรียนก็จะมีกิจกรรมประกวดหนูน้อยนพมาศและประกวดการทำกระทง ในชั่วโมงสังคมศึกษาเราได้สอนนักเรียนเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของประเพณีลอยกระทงประวัติที่เราจะเล่าให้นักเรียนฟังนี้เป็นประวัติการลอยกระทงของล้านนาหรือทางภาคเหนือซึ่งจะแตกต่างกับของภาคกลาง แล้วบอกนักเรียนว่าวันนี้เราจะเล่าประวัติของประเพณีลอยกระทงหรือลอยโขมดของล้านนาเด็กๆทุกคนในห้องตั้งตั้งใจฟังกันอย่างมากคงจะสนใจคำว่าขโมยเราจึงอธิบายให้นักเรียนฟังว่าเขาหมดคือผีชนิดหนึ่งที่มีไฟระยิบระยับ 2 ออกมาเด็กๆทุกคนต่างพากันเงียบเราจึงเริ่มเล่าต่อว่าในอดีตสมัยเมืองหริภุญชัยหรือลำพูนในปัจจุบัน ได้มีกลุ่มคนหรือชาวมอญอพยพมาจากเมืองสุธรรมวดีหรือสะเทินแล้วมาอยู่ที่เมืองหริภุญชัยซึ่งต่อมาเมื่อญี่ปุ่นชายที่เกิดโรคระบาดที่เรียกว่าโรคห่าหรืออหิวาตกโรคสมัยนั้นไม่มียารักษาผู้คนจึงล้มตายเป็นอันมากชาวบ้านที่เหลือจึงได้อพยพกลับไปยังเมืองสุธรรมวดีที่อยู่ในประเทศพม่า อาศัยอยู่ที่นั่นได้ประมาณ 2-3 ปีก็ทราบข่าวว่าโรคห่าได้หายไปหมดแล้วจึงมีผู้คนจำนวนหนึ่งอยากอพยพกลับมาในเมืองหริภุญชัยเหมือนเดิมแต่ก็ยังมีพรรคพวกญาติมิตรที่ไม่ยอมอพยพตามมาด้วย เพราะบางคนได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองสุธรรมวดีและบางคนก็แต่งงานกับคนสุธรรมวดีแล้วจึงไม่ออกยกตามมา ดังนั้นในวันเพ็ญเดือน 12 พระจันทร์เต็มดวงเมื่อได้ชมแสงจันทร์วันเพ็ญก็เหมือนโดนมนต์สะกดให้รำลึกและคิดถึงคนที่เป็นพีระ ชาวมอญที่อพยพมาอยู่ที่เมืองหริภุญชัยก็คิดถึงญาติมีพี่ยังอยู่เมืองสุธรรมวดีในประเทศพม่าจึงได้ทำกระทงใส่ของจุดไฟไว้ในกระทงและนำไปลอยแม่น้ำเพื่อส่งของและความคิดถึงไปยังญาติพี่น้องที่เมืองสุธรรมวดี แต่ละคนก็ปล่อยให้กระทงไหลไปตามน้ำเมื่อแสงไฟในกระทงกระทบกับน้ำก็เกิดแสงระยิบระยับคล้ายกับผีโขมดดังนั้นจึงเรียกการลอยกระทงว่าลอยโขมด พอเราพูดจบก็หันไปวาดรูปกระทงที่บนกระดานดำออกกำลังจะหันหน้ามาหานักเรียนก็ได้ยินเสียงเด็กชายอุทัยตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า คุณครูครับระวังเหยียบเท้ายายครั้งเราก็รีบก็มองไปที่เท้าตัวเองด้วยความตกใจแต่ก็ไม่เห็นใครยืนอยู่แถวนั้นเลยลองยืนงงๆอยู่หน้าห้องสักพักก็ได้ยินเสียงนักเรียนในห้องหัวเราะที่อาจจะตลกท่าทางของเราตอนที่ตกใจหรือหัวเราะใส่เด็กชายอุทัยหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอานอกจากเด็กชายอุทัยแล้วก็ไม่เห็นมีใครเห็นคุณยายมายืนหลังเราอย่างที่เด็กชายอุทัยยืนยันหนักแน่นว่าผมเห็นนิยายกว่า 1 ไม่ยืดด้านหลังคุณครูจริงๆครับแล้วก็มีเสียงนักเรียนหญิงคนหนึ่งพูดกันว่า คุณครูขาเด็กชายไทยคงจะละเมอเมื่อตะกี้หนูเห็นเด็กชายกูไทยนั่งสัปหงกอยู่ค่ะ ของโคตรนั้นเรียกเสียงหัวเราะยังครึ้มเก่งขึ้นภายในห้องหลังจากสอนจบชั่วโมงนั้นก็เป็นเวลาพักกลางวันพอดีทุกคนจึงไปรับประทานอาหารกลางวันที่โรงอาหารของโรงเรียน ขณะที่เรากำลังเดินไปห้องพักครูก็ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งที่โทรมาจากทางบ้านบอกข่าวร้ายว่าคุณแม่ของเราได้เสียชีวิตแล้วด้วยสาเหตุหกล้มในห้องน้ำและหัวฟาดพื้นอย่างแรง ท่านเพิ่งจะอยู่ได้ 72 ปี เราไม่นึกเลยว่าแม่ของเราจะจากไปเร็วแบบนี้ เมื่อเราทราบข่าวร้ายนั้นจึงรีบขอลาอำนวยการกลับบ้านเพื่อไปจัดงานศพให้แม่ หลังจากที่ทำการฌาปนกิจคุณแม่เรียบร้อยแล้วเราก็กลับมาทำงานตามปกติแต่ในใจของเราก็ยังคงติดใจคำพูดของเด็กชายอุทัยที่บอกเห็นยายแก่ๆมายืนใกล้ๆเราซึ่งตรงกับเวลาที่แม่ของเราเสียพอดีอีกทั้งเราก็เคยได้ยินเรื่องราวของเด็กชายอุทัยซึ่งหลายคนได้มาเล่าให้ฟังว่าเด็กชายอุทัยมีสัมผัสที่หกหรือเป็นเด็กเห็นผี วันนั้นเราจึงเรียกเด็กชายอุทัยเข้ามาคุยด้วยเราถามเด็กชายอุทัยว่าวันที่ครูเล่าเรื่องประวัติลอยกระทงให้ฟังเธอบอกครูว่าให้ระวังเหยียบเท้าใหญ่เธอพอจะจำได้ไหมว่ายายคนนั้นสวมเสื้อสีอะไรเด็กชายอุทัยบอกว่าจำได้ครับผมจำหน้าได้ด้วยวันนั้นยายคนนั้นนุ่งเสื้อคอกลมสีขาวแขนยาวมีลายจุดสีเขียวและนุ่งผ้าถุงสีน้ำตาลลายดอกรักเรารู้สึกตกใจมากๆคือชุดที่แม่เราใส่ในวันที่ท่านเสียชีวิตจริงๆแม่ของเราคงเป็นห่วงเราและอาจจะอยากมาบอกลาเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ เราเริ่มเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่าเด็กชายไทยมีสัมผัสที่ 6 และเป็นเด็กเห็นผีจริงๆดังนั้นเราจึงต้องหาคำตอบให้ได้ หลังจากโรงเรียนเลิกคนที่เราไปหาคนแรกก็คือสิยาภิบาลหรืออาจารย์ประจำหมู่เกาะที่อยู่ใกล้บ้านของเราและสาเหตุที่เราไปบอกก็เพราะว่าเด็กชาวไทยนับถือศาสนาคริสต์และมักจะมาที่โบสถ์​นี้ พอไปถึงเราก็คุยกับสิริยาภิบาลท่านได้บอกว่า เด็กชายอุทัยมีสัมผัสที่ 6 จึงมองเห็นผีแล้วอาจารย์ก็เล่าต่อว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งมีผู้ชายคนหนึ่งมาหาอาจารย์ที่บอกแล้วบอกว่าเขาโดนผีอำบ่อยมาก ใช้คนนั้นขอร้องให้ช่วยหาสาเหตุว่าทำไมโดนผีอำบ่อยๆทั้งๆที่เขาสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืนเพราะทำไปสอบถามมาก็ได้รับคำตอบว่าคนในบ้านของชายคนนั้นมักจะไปงานฉลองต่างๆและมักจะได้รับเครื่องรางของขลังที่ทำพิธีปลุกเสกพระเจ้าภาพของงานนั้นเมื่อได้มาแล้วก็ไม่ได้นำมาบูชาส่วนใหญ่จะเก็บไว้ตามซอกตู้วางบนโต๊ะแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอธิบายจึงบอกว่าเครื่องรางของขลังนานอาจจะเป็นสาเหตุที่เป็นสื่อของผีมารซาตานก็ได้เราบางครั้งอาจจะมีการปลุกเสกโดยนำดินมาจากป่าช้าหรือเอาเถ้ากระดูกของคนตายมาทำพิธีใช้มนต์ดำเพื่อให้เครื่องราง ครั้งนั้นศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นของพวกนี้บางทีอาจจะมีวิญญาณชั่วสิงสถิตอยู่แล้วออกมาหลอกหลอน เมื่อชายคนนั้นได้ฝากจึงขอให้อาจารย์ช่วยแก้ไขอาจารย์จึงแนะนำให้ถูกยิงแต่คนที่จะทุบทิ้งได้นั้นต้องมีจิตใจเข้มแข็งอาจารย์จึงบอกว่าจะพบเครื่องรางเหล่านั้นให้โดยให้ชายคนนั้นนำเครื่องรางของขลังมาทำพิธีในโบสถ์ก่อนที่จะถูก หลายวันผ่านไปไม่ใช่คนนั้นกลับมาอีกครั้งก็ได้นำเครื่องราง 5 อันเล็กไว้ที่เสื้อตรงบริเวณไหล่ข้างละตัวอีกตัวหนึ่งเหน็บไว้ที่เอวด้านหลังส่วนอีก 2 ตัวใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ วันนั้นเด็กชายอุทัยอยู่กับศิษยาภิบาลพอดีเพราะชายคนนั้นเดินมาถึงประตูเด็กชายไทยก็พูดขึ้นมาว่าเขาเห็นมีปีศาจนั่งอยู่บนบ่าของชายคนนั้น 2 ตัวและมีปีศาจเดินตามหลัง 1 ตัวอีก 2 ตัวเดินขนาบข้าง เพราะชายคนนั้นเดินเข้าประตูโบสถ์มาอีสัสทั้ง 5 ตัวก็กระโดดหนีหายไปหลังจากทำพิธีทุกเครื่องรางเสร็จแล้วชายคนนั้นก็กลับบ้านไป หลายสัปดาห์ต่อมาชายคนนั้นก็กลับมาบอกว่าเขาไม่ถูกผีอำอีกเลย สิ่งที่ 10 ยาภิบาลเล่าให้เราฟังนั้นทำให้เราเริ่มเชื่อมากขึ้นว่าเด็กชายคู่ไทยมีสัมผัสที่ 6 จริงๆ

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

งานศพหลาน!!

           เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณป้าของเราเล่าให้ฟังอีกทีค่ะ ย้อนกลับไปประมาณ 20 ปีก่อน ลุงกับป้าได้ข่าวว่าหลานชายเสียชีวิตที่จังหวัดส...