วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ถนนเปลี่ยว​ เส้นทางงานแต่ง!!


          หลังจากที่เราได้เจอกับวิญญาณของแก้มในคืนนั้นมันทำให้เรากลัวมาจากที่ไม่เคยเชื่อเรื่องลีลับก็ต้องเชื่อจากที่ไม่เคยกลัววิญญาณก็ต้องกลัวแม้กระทั่งในตอนนี้เราก็ยังรู้สึกกลัวกับเหตุการณ์ที่ได้เจอนั้นอยู่เราไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ที่เจอในครั้งนั้นมันคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวลี้ลับที่เราจะต้องเจออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะหลังจากที่เราได้เจอวิญญาณของแกมได้เพียง 7 วันเราก็ต้องพบเจอกับสิ่งที่น่าหวาดกลัวอีกครั้งเรื่องมันเกิดขึ้นในวันงานแต่งของพี่ที่ทำงานที่เดียวกันกับพ่อของเราเธอเชื่อว่าพี่นาที่นางจัดงานแต่งแบบเรียบง่ายในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง บ้านของพี่นาอยู่ท้ายหมู่บ้านหมู่บ้านจะอยู่ห่างจากหมู่บ้านของเราไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตรสองข้างทางระหว่างทางไปหมู่บ้านจะมีป่าและรายย่อยทอดยาวไปไม่มีบ้านคนเลย วันงานแม่ของเราก็ไปช่วยงานที่บ้านพี่นางตั้งแต่เช้าเขาแม่ของเราก็รู้จักกันดีกับพี่นางมานานแล้วแม่อยู่ช่วยงานตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงช่วงบ่ายย้อนเวลาประมาณบ่าย 3 โมงครึ่งแม่ก็ขี่รถกลับมาบ้านเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวไปกินเลี้ยงในตอนเย็น และแม่ยังบอกกับเราดีว่าให้ตามไปงานเลี้ยงในตอนเย็นด้วย เมื่อเราได้ยินที่แม่บอกก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยเพราะเรายังกลัวกับสิ่งที่เจอในครั้งก่อนมันทำให้เราไม่อยากไปไหนมาไหนคนเดียวในตอนกลางคืนอีกเราต้องถามแม่ไปด้วยเสียงที่สั่นว่าจะให้เราไปคนเดียวหรอถ้าไม่ได้ก็บอกว่าเปล่าเพราะรู้อยู่แล้วว่าเรากลัวผีแม่จะให้พี่ชายไปกับเราด้วยและมีลูกพี่ลูกน้องอีก 3 คนพี่ชายของเราชื่อหนึ่งส่วนลูกพี่ลูกน้องก็จะมีหญิงที่เคและนนท์ที่เป็นรุ่นเดียวกับเราเมื่อเรารู้ว่าจะมีคนไปด้วยหลายคนก็โล่ง จากนั้นแม่กับพ่อก็เดินทางออกไปก่อนเพราะใกล้ถึงเวลาที่เราจะไปเราก็อาบน้ำแต่งตัวแล้วมานั่งรอพวกพี่ๆไม่นานนะพวกพี่เขาก็มาถึงแล้วเราสังเกตเห็นว่าจำนวนคนที่มานั้นมีมากกว่าที่คิดมีคนแปลกหน้ามาด้วยอีก 3 คนแล้วพี่หนึ่งก็แนะนำให้รู้จักว่าเป็นเพื่อนของพี่ ทั้งสามคนนั้นมีชื่อว่าพี่แมนพี่และพี่ต่าย ทำให้ตอนนี้เรามีคนไปร่วมงานกันแล้วถึง 8 คนรวมทั้งเราด้วยเพราะมากันขอบพวกเราก็พากันไปงานแต่งตอนนั้นก็เป็นเวลาประมาณ 1​ ทุ่มครึ่งแล้ว พวกเราขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปกันทั้งหมด 3 คันนั่งคันละ 2 คนบ้า 3 คนบ้าพี่หนึ่งพี่ชายของเราเป็นคนขี่ส่วนเรานั่งซ้อนท้ายแล้วก็ขี่มาเรื่อยๆออกจากหมู่บ้านไปจนถึงช่วงที่มีป่าและไรออยเส้นทางนั้นมันมือและน่ากลัวมาก แสงไฟจากเสาไฟฟ้าก็มีเพียงน้อยนิดไม่เพียงพอที่จะให้แสงสว่างแต่ก็เดินทางมาถึงงานแต่งงานด้วยความปลอดภัยเมื่อพวกเราทั้งหมดอยู่ในงานก็กินกันไปคุยกันไปจนเวลาใกล้จะเที่ยงคืนก็ชวนกันกลับบ้านแต่ตอนกลับรถพี่หนึ่งพี่ชายของเราครับสตาร์ทไม่ติดที่ 1 เลยบอกให้เราไปเอารถของแม่มาใช้ก่อนเดี๋ยวค่อยกลับมารับพ่อกับแม่อีกทีแต่พอเราไปถามแม่ก็บอกว่าพ่อเอารถกลับไปแล้วเพราะแม่คิดว่าจะกลับกับพวกเรานี่แหละพวกเราตัดสินใจอยู่พักหนึ่งก็คิดว่าจะจูงรถกลับไปด้วยการเอาระยะทางจากที่นี่ไปบ้านของเรามันก็ไม่ได้ไกลมากนักแล้วพวกเราก็พากันจมรถกลับบ้านเดินไปด อ้อยกันทั้ง 9 คอร์ดและรถ 3 คันรวมคันอื่นที่ใช้งานได้เป็นปกติเพราะเดินมาถึงช่วงที่เป็นป่าและไรออยเราก็มีความรู้สึกว่าบรรยากาศตอนนั้นมันวังเวลามือมีลมพัดเบาเบาๆเย็นสบายก็ได้แต่มันมีความน่ากลัวซ่อนอยู่พวกเราจงรอเดินเรียงแถวกันอยู่ริมถนนแม่ของเราเดินนำหน้าขบวนอยู่ข้างหญิงกับนนท์ส่วนโครงการมีพี่หนึ่งส่งรถที่สตาร์ทไม่ติดและมีพี่เอเดินอยู่ข้างๆ พี่เคกับพี่ต่ายก็เดินชมรถอยู่ข้างๆเราท้ายขบวน ในระหว่างที่เดินกันอยู่นานก็พากันคุยและเล่นกันไปด้วยบางก็พูดตลกบ้างก็แกล้งกันขำกันสนุกสนานเสียงดังเหมือนกับพยายามจะไม่ให้เรากลัวและมันก็ได้ผลจริงๆเราลืมความกลัวแล้วก็ขำกับคำพูดและท่าทางตลกนำไปแล้วเราก็ขำได้มีนาสายตาของเราก็เหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งใส่เสื้อสีแดงยืนอยู่ด้านหลังก้อยข้างทางเราคิดว่าเป็นหนึ่งในพวกของเราเองจึงไม่ได้สนใจ ถ้าพ่อเดินมาได้อีกสักพักเราก็เริ่มฉุกคิดว่าคงไม่มีใครไปยืนอยู่ตรงนั้นหรอกแล้วสิ่งที่ทำให้เราตกใจนั่นก็คือทุกคนอยู่กันครบและก็ไม่มีใครที่ใส่เสื้อสีแดงมาเลยจึงหันไปมองที่ด้านหลังอีกครั้งเมื่อชายคนนั้นเป็นใครแต่เรากลับมองไม่เห็นผู้ชายคนนั้นแล้วในขณะที่เรากำลังงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาทุกคนหยุดเด้อแล้วก็ได้รู้ว่ามันคือเสียงของพี่หญิงนั่นเองเธอกรีดร้องแล้วชี้ไปทางเกาะลอยที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับพูดแทบจะไม่เป็นภาษาบอกว่าผีหลอกทุกคนหันไปมองตามมือที่ชี้ไปนานแต่ก็ไม่มีใครเห็นอะไร แล้วพี่ต่ายก็ขับบอกกับพี่ว่าอย่ามาหลอกกันเลยไม่เชื่อหรอกทุกคนต่างหัวเราะเขาคิดว่าพี่แกล้งหลอกให้กลัวถ้าเราสังเกตเห็นสีหน้าที่กังวลและตื่นกลัวพร้อมกับน้ำเสียงที่สั่นระรัวของพี่ แม้ทุกคนจะขาดเขาคิดว่าเป็นมุขตลกเราก็รู้สึกได้ว่าผู้หญิงนั้นพูดความจริงน้ำตาของเราเริ่มไหลออกมาขาทั้งสองข้างเริ่มสั่นด้วยความกลัวที่ตายที่เดินอยู่ข้างเราเองก็ถามว่าเป็นอะไรร้องไห้ทำไมเราจึงรีบเช็ดน้ำตาแล้วบอกว่าฝุ่นเข้าตาไม่ได้เป็นอะไรเพราะตอนนั้นเราไม่อยากจะพูดให้ทุกคนกลัวเพราะเดินไปได้สักพักจากที่ทุกคนค้ำกันอยู่ก็เงียบหรอกไม่นาน ลูกพี่ลูกน้องของเราก็พูดตลกให้ทุกคนขำกันอีก แล้วที่แมนเพื่อนของพี่หนึ่งก็พูดว่า ไอ้หนึ่งมึงหัวเราะดังไปหรือเปล่าวะ พี่หนึ่งทำหน้าโง่แล้วต่อไปว่าเปล่าก็หัวเราะตามปกตินี่แหละพี่แมนคิดว่าเราตีหนึ่งเดินอยู่ข้างๆจึงได้ยินเสียงหัวเราะดังอยู่ข้างๆกูก็เลยไม่สนใจเพราะเดินไปอีกสักพักจู่ๆโดนลูกพี่ลูกน้องของเราที่เดินอยู่ข้างๆแม่ก็หันมามองทางเราหันกลับไปแล้วก็หันกลับมาอีกเป็นอย่างนี้ถึง 2-3 ครั้งพร้อมกับทำหน้าแปลกๆ เราจึงถามนุ่นไปว่ามีอะไรหรือเปล่าทำไมถึงทำหน้าอย่างนั้นแต่นุ่นก็ตอบกลับมาว่าเปล่าไม่มีอะไร ตอนนั้นเรารู้สึกเย็นที่ด้านหลังแล้วก็กดลูกตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วแต่เขาคิดว่าคงเพราะอากาศมันเย็นก็เลยทำให้รู้สึกแบบนี้พวกเราเดินต่อไปเรื่อยๆจนมาถึงบ้านของเราแม่ก็ถามพวกพี่ๆกลับกันหรือเปล่าหรือจะนอนที่นี่ทุกคนตอบว่าจะนอนที่นี่เพราะมันดึกแล้วแม่จะแจ้งหาที่นอนให้แล้วก็ขอตัวไปนอนก่อนเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน ส่วนพวกเรายังไม่ขึ้นบ้านกะนั่งคุยกันที่แคนาดาพี่หนึ่งนั่งซ่อมรถคันที่เสียพวกผู้ชายก็รักษาที่จะช่วยด้วยจะได้เสร็จไวๆยังไม่มีใครห่วงคนอื่นๆที่เหลือรวมทั้งเราก็นั่งคุยเป็นเพื่อนพากันคุยไปเรื่อยเปื่อยแล้วจู่ๆพี่หญิงก็พูดเรื่องที่แกเห็นขึ้นมาว่าเธอเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังคอยที่บอกว่าผีหลอกน่ะเรื่องจริงนะไม่ได้อาบทุกคนนี้แล้วหันไปมองหน้าแก่แกจึงบอกย้ำอีกทีว่าเห็นจริงๆเพราะคิดว่าไม่มีใครเชื่อ แล้วพี่หญิงก็เล่าให้ฟังว่าตอนที่พวกเราเดินคุยเล่นกะแค่รู้สึกเหมือนมีคนมองอยู่ตอนแรกก็คิดว่าพี่ที่เดินอยู่ด้านหลังเลยกะจะหันมาถามว่ามองอะไรแต่ยังไม่ทันที่จะได้หันมามองยังด้านล่ะแกก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนยิ้มอยู่ทางด้านหน้าหลังก็ค่อยๆตอบกลับไป ตอนนั้นพี่หญิงคิดเพียงแต่ว่าน่าจะเป็นคนที่มางานแต่งกำลังยิงกระต่ายอยู่จึงยิ้มให้เพราะอะไรแต่ยังไม่ทันที่จะเดินผ่านชายคนนั้นก็ต้องตกใจแทบช็อกเพราะใบหน้าของเขาค่อยๆเปลี่ยนไปจากหน้าปกติคนเอาเรทอาร์ถนนแทบจะหลุดออกจากเบ้าทำให้ผู้หญิงกรีดร้องเสียงดังด้วยความตกใจเมื่อทุกคนได้ฟังสิ่งที่ได้หญิงเราก็ต่างพากันกลัวและนี่แหละไม่มีใครพูดอะไรสักพักนุ่นก็ถามพี่หญิงกลับไปว่าผู้ชายที่เห็นคนนั้นเป็นวัยรุ่นใส่เสื้อสีแดงหรือเปล่าหญิงตอบในทันทีว่าใช่รุ่นตกใจมากเพราะเธอก็เห็นเหมือนกัน  ทุกคนถามเป็นเสียงเดียวกันว่านู่นเห็นที่ไหนเธอจึงบอกว่าเห็นชายคนนั้นเดินอยู่ด้านหลังของเราตอนที่เธอหันมามองเราแต่กลับบอกว่าไม่มีอะไรนุ่นเห็นผู้ชายคนนั้นแต่ก็คิดว่าตาฝาดไปจึงหันไปมองอีกครั้งก็เห็นผู้ชายคนนั้นยืนยิ้มให้เขามองไปครั้งที่ 3 กลับไม่เห็นชายคนนั้นแล้วทุกคนต่างทำหน้าเหวอไปตามๆกันส่วนเราก็ตกใจมาถึงกับนาซีมือไม้สั่นจนพูดอะไรไม่ออก ตอนนั้นพี่หนึ่งก็ซ่อมรถเสร็จพอดีพวกเราที่นั่นก็แยกย้ายกันไปนอนในทันใดนั้นเองก็มีเสียงหมาหอนดังขึ้น เราจึงเดินไปมองที่หน้าตามองดูหมามันเห่าหอนแล้วเราก็ถึงกับชอบในสิ่งที่เราเห็นผู้ชายวัยรุ่นใส่เสื้อสีแดงกางเกงยีนส์ยืนยิ้มอยู่ที่หน้าบ้านซึ่งห่างไปไม่กี่สิบเมตรเขาตบมือเหมือนจะเรียกให้เราเข้าไปหาใบหน้าของเขาดูน่ากลัวดวงตาถลนถ้าจะหลุดออกจากเบ้าเรากรีดร้องออกมาสุดเสียง ทุกคนตกใจจนต้องชะงักแล้ววิ่งมาหาเราถามว่าเป็นอะไรน้ำตาเราไหลออกมาและพูดด้วยเสียงที่สั่นพร้อมกับชี้ไปที่หน้าบ้านทุกคนหันไปมองที่หน้าบ้านพร้อมกันหมดแล้วก็ต้องชอบกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า เพราะนั่นคือผู้ชายคนที่พวกเราพูดถึงกันอยู่เมื่อสักครู่นี้ แต่เรื่องราวมันยังไม่จบเพียงเท่านี้ล่ะครับเพราะคุณน้ำได้บอกว่าเรื่องนี้มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นถ้ามีโอกาสว่างอีกเมื่อไหร่ก็จะนำเรื่องราวมาเล่าให้ฟังกันอีกขอเวลาอีกไม่นาน

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

งานศพหลาน!!

           เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณป้าของเราเล่าให้ฟังอีกทีค่ะ ย้อนกลับไปประมาณ 20 ปีก่อน ลุงกับป้าได้ข่าวว่าหลานชายเสียชีวิตที่จังหวัดส...