วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

พระเจอดีตอนธุดงธ์ !!


          เรื่องราวและเหตุการณ์นี้เป็นประสบการณ์ตรงของคุณพงษ์บวชเป็นพระและได้ติดตามพระอาจารย์ออกเดินธุดงค์สมัยนั้นในปีพ.ศ 2542 อายุมีอยู่เยอะมากไม่เหมือนกับสมัยนี้คุณพงษ์ได้เริ่มตั้งแต่จังหวัดฉะเชิงเทรามุ่งหน้าไปสู่อีสานเดินแบบไปกันเรื่อยๆค่อยๆไปค่ำไหนก็ปรากฏที่นั่น เดินธุดงค์เป็นเวลา 2 เดือนถึงจะได้จนกระทั่งไปถึงจังหวัดสุรินทร์ค่ำของวันหนึ่งพระอาจารย์ท่านก็ได้เลือกทำเลปักกรดที่นั่นซึ่งที่นั่นเป็นวัดกลางวัดหนึ่งในจังหวัดสุรินทร์ พอตกค่ำหลังจากที่พระภิกษุทั้งสองดูทำวัตรสวดมนต์กันเสร็จก็มีผู้ใหญ่บ้านมากับลูกบ้านอีก 4 5 คนเข้ามากราบนมัสการพระอาจารย์แล้วก็พูดขึ้นว่านมัสการครับอาจารย์ทั้งสองดีเหลือเกินแถวนี้ไม่มีพระมาโปรดญาติโยมชาวบ้านนานมากแล้วเนื่องจากสมัยนั้นทางภาคอีสานวัชระกันเยอะ หากก็ไม่ค่อยจะมีเหมือนสมัยนี้สักเท่าไหร่แล้วผู้ใหญ่บ้านก็ถามต่อไปว่าอาจารย์จะมาปักกลดรถญาติโยมอยู่สักกี่วันพระอาจารย์ก็ตอบไปว่าสถานที่และบรรยากาศสงบเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมก็จะอยู่สัก 2 3 วันเนื่องจากเดินธุดงค์มานานมากแล้วก็อยากพักปฏิบัติสักทีผู้ใหญ่บ้านนั้นก็โมทนาสาธุแล้วก็พูดอีกว่า เดี๋ยวผมกลับไปใช้นอกบ้านไปป่าวประกาศบอกกันชาวบ้านคนอื่นว่าพี่เป้ามาปรากฏโปรดญาติโยมอยู่บริเวณนี้จะได้มาทำบุญใส่บาตรกันว่าแล้วคนทั้งหมดก็ขอตัวกลับล่ะกลับไปพากันสองรูก็ปฏิบัติกันต่อทั้งนั่งสมาธิแล้วก็เดินจงกรมจนกระทั่งเวลาถึงเที่ยงคืนก็เข้าก่อนจำวัดกันเพื่อที่ว่าเมื่อถึงเวลา 4:00 นก็จะต้องตื่นขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์คืนแรกนั้นก็ผ่านไปไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนเวลาตี 4 ก็ตื่นขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์และก็ปฏิบัติกันจนเกือบ 6 โมงเช้า ขณะที่กำลังจะออกบิณฑบาตถ้าอาจารย์ท่านก็บอกว่าวันนี้ไม่ต้องไปบิณฑบาตหรอกนั่งรออีกสักพักชาวบ้านที่จะมาทำงานที่นี่แล้วท่านพระอาจารย์ก็พูดต่อไปว่าท่านจำเอาไว้นะเดี๋ยวตอนที่ชาวบ้านมาทำบุญใส่ปากเรากันนั้นท่านจึงสังเกตเอาไว้ให้ดีจะมีอีกวัยกลางคนอยู่สองคนถึงจะแต่งตัวไม่เหมือนคนในพื้นทีและกับข้าวที่จะนำมาถวายเรานั้นก็จะไม่เหมือนกับชาวบ้านทั่วไปบริเวณนี้ ถ้าพองตอนนั้นก็บวชได้แค่เดือนเดียวได้แต่รับฟังในสิ่งที่พระอาจารย์นั้นบอกและฉันก็ได้บอกต่อไปว่าผู้หญิงวัยกลางคนสองคนดีของน้องข้าวมีกับข้าวมาประเคนเราก็ต้องรับนะทันไหมว่าเขาจะมาดีกว่ามาได้เราก็ต้องรับประเคนไว้ก่อนครับผมได้ฟังแบบนั้นก็ตกปากรับคำว่าจานไป เวลาผ่านไปร่วมเข้า 7:00 นก็ได้ที่จะมีชาวบ้านทยอยหิ้วกระติ๊บบาอินโตบ้างเข้ามาใส่บาตรกันสมัยนั้นทางภาคอีสานชาวบ้านส่วนใหญ่จะแต่งตัวคล้ายกันหมดซึ่งสามารถมองออกได้และตามที่พระอาจารย์ได้บอกไว้ว่าจะมีหญิงสองคนที่แต่งกายไม่เหมือนชาวบ้าน แล้วพระองค์ก็ได้สังเกตเห็นว่ามีผู้หญิง 2 คนซึ่งแต่งกายดูดีมากเมื่อสังเกตดูแล้วก็น่าจะอยู่ไม่เกิน 50  เธอทั้ง 2 ใส่กางเกงผ้าค่อยๆกางเกงสแล็คเสื้อยืดคอกลมธรรมดาพิษกับหญิงชาวบ้านคนอื่นๆที่แต่งตัวส่วนใหญ่นุ่งผ้าถุงกันแทบทุกคนดูแล้วเธอทั้งคู่น่าจะเป็นคนที่ท่านพระอาจารย์ได้บอกเขาไว้ ก่อนหน้านี้พระองค์ก็ได้แต่เก็บความคิดนี้ไว้ในใจ เนื่องจากชาวบ้านมากันพร้อมแล้วและผู้ใหญ่บ้านก็เริ่มอาราธนาศีลเพื่อที่จะรับศีลกันต่อไปเพราะเสร็จจากการให้ศีลให้พรชาวบ้านกล่าวถวายภัตตาหารเสร็จถึงตอนเช้าเข้ามาประเคนข้าวและกับข้าวที่ชาวบ้านนำมาใส่บาตรทำบุญกันส่วนใหญ่นั้นก็จะเป็นข้าวเหนียวและปลาตามท้องนาก็ถึงคราวของผู้หญิง 2 คนที่แต่งตัวไม่เหมือนคนแถวนี้ได้เข้ามาประเคนกับรพงษ์คนหนึ่งเขาไปประเคนกับพระอาจารย์อีกคนหนึ่งปาโป่งได้สังเกตทหารที่เธอนำมาถวายนั้นเป็นข้าวสวยธรรมดาที่ยังมีควันขึ้นอยู่ ความร้อนมันเหมือนกับว่าซึ่งคงมาใหม่ๆส่วนกับข้าวก็เป็นผัดกระเพราหมูต้มจืดวุ้นเส้นและไก่ทอดกระเทียมซึ่งอาหารนั้นไม่เหมือนกับชาวบ้านคนอื่นเลยแล้วอีกคนที่เรียนให้กับอาจารย์นั้นก็พูดขึ้นมาว่าพระอาจารย์ไม่ใช่ภาพพื้นที่นี้คงจะฉันข้าวเหนียวกันไม่ค่อยชินที่ฉันก็เลยทำอาหารภาคกลางมาถวาย พระอาจารย์ท่านก็เลยตอบกลับไปว่าอาหารที่ญาติโยมนำมาถวายตอนออกมาเป็นก้อนเลือดทำไม่ได้หรอกอยู่ข่อยประเคนว่าใส่บาตรอะไรมาก็ต้องทำไปตามนั้นว่าแล้วพระอาจารย์ก็เลยปากกับชาวบ้านว่าโยมทั้งหลายเสร็จแล้วก็มารับพรก่อนจะได้ไม่ต้องรอถ้าฉันหลังจากให้พอแล้วญาติโยมทั้งหลายก็ต่างลากลับไปอาจารย์ก็เริ่มที่จะฉันข้าวแต่ก็ได้พูดขึ้นมาว่าทำไม่ทำกับข้าวที่สีกาสองคนนั้นถวายมาเด็ดขาดหากผมก็ถามด้วยความสงสัยว่าทำไมครับพระอาจารย์ท่านก็ตอบว่า คอยดูไปก็แล้วกันเราจะถ่ายกับข้าวของสีกาสองคนนั้นเอาไว้ในป่าแล้วจะนำไปตั้งไว้ตรงลานหน้าปักกลดกลางแจ้งเพราะตอนค่ำๆทำวัตรเสร็จทันก็ต้องไปดูที่ปากว่ามีอะไรครับผมก็ตอบรับคำพร้อมกับเก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วก็นั่งฉันภัตตาหารไป เสร็จแล้วก็เห็นพระอาจารย์ทีกับข้าวและข้าวของสองคนนั้นลงไปในปากของพระอาจารย์ท่านก็นำไปวางไว้กลางแจ้งตกเย็นถึงเวลาทำวัตรสวดมนต์เสร็จเวลาประมาณเกือบจะ 1 ทุ่มครับผมก็ได้เดินไปดูพร้อมกับไฟฉายส่งไปที่บ้านแล้วครับผมก็ต้องตกใจเป็นอย่างมากเนื่องจากในบาทของพระอาจารย์ที่เมื่อเช้ากับข้าวของหญิงสองคนนั้นทิ้งเอาไว้ตลอดทั้งวันก็ไม่ได้มีใครเดินเข้าไปใกล้กี่บาทเลย แต่ในเวลานี้มันเต็มไปด้วยเม็ดทรายและตะปูตัวเล็กๆเต็มไปหมด เราถึงกับอึ้งรีบเดินกลับไปหาพระอาจารย์ที่ตอนนี้กำลังนั่งสมาธิอยู่ในกรดแต่พระองค์ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากถามอะไรอาจารย์ก็กล่าวมาก่อนว่าเขาไม่ชอบเราแต่ตอนเขากลัวว่าเราจะมาทำร้ายหรือทำลายการทำมาหากินของเขาเขาโกรธได้แล้วท่านคืนนี้ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรหรือว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตามทันออกมานอกเด็ดขาด ถ้าเธอได้ฟังคำพูดดีๆๆ ก่อนที่จะเดินกลับไปที่ก่อนของท่านเองนั้นท่านก็ได้กำชับว่า ก็ตอบรับคำอาจารย์แล้วท่านก็เดินกลับไปที่กวาดของท่านเองได้นั่งสมาธิต่อไปพักใหญ่ๆก็มีลมพัดแรงมากลมนั้นพัดแรงขึ้นมาเสียดื้อๆทั้งทั้งที่ตอนค่ำก็ไม่มีลมเลยลมพัดอยู่ได้พักใหญ่แล้วพระองค์ก็ได้ยินเสียงเหมือนสุนัขกำลังขู่ก็เลยค่อยๆลืมตาขึ้นออกจากสมาธิเพื่อหันไปดูอย่างช้าๆแต่พอหันไปดูเท่านั้นพระองค์ก็ต้องตกใจกลัวจนขนลุกซู่เพราะสิ่งที่เห็นเบื้องหน้านั้นเป็นหมาดำตัวใหญ่มากหมาดำตัวนี้เมื่อกล้าขนาดแล้วมันก็พอๆกับฝ่ายเลยแล้วมันก็กำลังยืนคู่อยู่ดวงตานั้นเป็นสีแดงก่ำ หมาดำตัวนี้กำลังทำท่าพยายามจะเข้ามาในกฎของพระองค์แต่พอมันเดินมาถึงรอยยิ้มลาซาลไปมันก็ต้องถอยห่างออกไปดีกว่ากลัวได้แต่ส่งเสียงขู่ต่อไปแต่เดิมทางเดินวนเวียนว่าโกรธเหมือนกับพยายามที่จะหาทางเข้ามาให้ได้หมาดำใหญ่ยักษ์ตัวนั้นเดินเวียนรอบกรดประมาณ 3 รอบแล้วสิ่งที่ผมเห็นก็คือถ้าจะได้เดินมาที่ปลดของครอบครัวแล้วใช้ด้ามกดไปที่หมาดำตัวนั้น 1 ทีจนมันส่งเสียงร้องโหยถ้าสิ่งที่ทำให้พระองค์นั้นแปลกใจมากก็คือ เสียงร้องโหยหวนที่มาจากหมาดำครับกลายเป็นเสียงผู้หญิงแล้วพระองค์ก็ต้องอึ้งตกใจกลัวแบบสุดๆเนื่องจากหมาดำตัวนั้นหลังจากที่โดนตีแล้วก็ได้บอกนอนลงแล้วกลายร่างเป็นผู้หญิงคนที่เมื่อเช้าแนะนำกับข้าวมาถวายและแต่งตัวไม่เหมือนกับชาวบ้านคนอื่นนั่นเอง

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

งานศพหลาน!!

           เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณป้าของเราเล่าให้ฟังอีกทีค่ะ ย้อนกลับไปประมาณ 20 ปีก่อน ลุงกับป้าได้ข่าวว่าหลานชายเสียชีวิตที่จังหวัดส...