วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

บ้านพักหลอน​ ที่ปากช่อง !!


         ย้อนกลับไปเมื่อปีพ.ศ 2548 เป็นปีที่ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่งได้พอดี ผมพี่สาวและเพื่อนผู้หญิงของพี่พวกเราทั้งสามคนชวนกันไปเที่ยวเขาใหญ่และขอพักที่บ้านหลังนี้ซึ่งก่อนหน้านั้นครอบครัวของผมเคยไปพักที่บ้านหลังนี้มาก่อนแล้วตอนนั้นไปกันทั้งหมดประมาณ 20 คนครั้งนั้นไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นคงเป็นเพราะว่าไปกันจำนวนมากแต่คราวนี้พวกเรากลับมาอีกครั้งโดยมากันทั้งหมด 3 คนบ้านพักที่นี่เป็นสไตล์รีสอร์ท 3 หลังเรียงติดกันหลังที่ผมเข้าพักนั้นเป็นหลังตรงกลางมีสภาพค่อนข้างสวยเลยทีเดียวถ้ายืนอยู่ด้านนอกก็จะเห็นว่าด้านหน้าของตัวบ้านจะมีสนามหญ้ามองผ่านเข้าไปก็จะเห็นตัวบ้านทรงหลังคาจั่วซึ่งมี 2 ชั้น เมื่อเดินเข้าไปยังชั้นล่างซ้ายมือจะเป็นห้องรับแขกทักไปก็จะมีเสาไม้อยู่กลางบ้านเป็นบันไดขึ้นไปยังชั้น 2 พัดจากบันไดก็จะเป็นห้องนอนด้านขวามือจากทางเข้าจะเป็นที่รับประทานอาหารและห้องครัวพัดเข้าไปอีกก็จะเป็นห้องน้ำมาเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปจะต้องเดินลงบันไดไปชั้นใต้ดินอีกครึ่งฉันห้องน้ำของกินีมีอ่างล้างหน้าเหมือนปกติแต่กระจกที่อยู่ตรงอ่างล้างหน้ามันจะไม่มีวันเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่ผนัง หน้าที่ตรงนั้นจะมีแจกันดอกไม้ปลอมตั้งอยู่ 1 ส่วนที่ชั้น 2 หลังจากที่ขึ้นบันไดตรงกลางบ้านเราก็จะเห็นห้องน้ำอยู่ตรงหน้าบันไดส่วนห้องนอนจะมี 2 ห้องแยกซ้ายขวาและเหตุการณ์ที่ผมเจอกับพี่สาวก็เกิดขึ้นที่บริเวณชั้นล่างของบ้านหลังนี้ พบเราวางแผนการที่จะไปพักผ่อน 3 วัน 2 คืนพอไปถึงในคืนแรกก็เกิดเรื่องขึ้นเลย เรื่องมีอยู่ว่าหลังจากที่พวกเราไปถึงแล้วขนของเข้าไปในบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเราไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนอยู่ที่บ้านกันจนถึงเย็นแล้วก็ปาร์ตี้ดื่มกันสนุกสนาน จนถึงเวลาที่จะต้องเข้านอนพวกเราก็มานอนรวมกันที่ห้องนอนชั้นล่าง ถึงเวลาประมาณ 4:00 นผมก็ต้องตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงของพี่สาวเรียกดังมาก เมื่อตื่นขึ้นมาผมก็ได้ยินเสียงเหมือนกับคนกำลังเล่นใหม่หรือกำลังแย่ไม้จากพื้นชั้นบนพี่สาวผมพูดว่ามีคนพยายามจะแงะเข้ามาในบ้านจากห้องชั้นบนแล้วเสียงนั้นก็ดังขึ้นเรื่อยๆ พี่สาวมองขึ้นไปยังพื้นด้านบนก็ปรากฏว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังมองลอดพื้นจากชั้นบนลงมายังชั้นล่าง สายตานั้นจ้องมองมาที่พวกเราไม่รอช้าพวกเรากรีดร้องและวิ่งหนีออกจากห้องนั้นมาเมื่อไปถึงยังประตูบ้านก็เปิดออกมาไม่ได้เพราะเราตัดสินใจกระโดดออกทางหน้าต่างแล้วรีบขับรถออกไปยังบ้านพักของแม่บ้านที่ดูแลบ้านทั้ง 3 หลังนี้พอไปถึงก็เล่าให้แม่บ้านฟังแกก็บอกว่าไม่มีอะไรหรอกให้กลับไปนอนพักได้แล้ว ตอนนั้นพวกเราก็เลยกลับกันแต่ยังไม่ทันได้คิดถึงเรื่องผีคิดว่าอาจจะมีคนงัดบ้านเข้ามาทำอะไรไม่ดีเท่านั้นขณะที่พวกเรากำลังจะเดินออกจากบ้านของแม่บ้านก็ได้ยินแกพูดเบาๆกับสามีของแกว่าสงสัยจะโดนกันอีกแล้วพวกเราก็เลยชะงักหันกลับไปถามแกอีกทีแต่แกก็บอกไม่มีอะไรหรอกให้กลับไปพักเถอะจากนั้นพวกเราก็ขับรถกลับไปที่บ้านพักทั้งๆที่ยังมีคำถามติดค้างอยู่ในใจพวกเรามาถึงบ้านพักตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 6โมงแล้ว ก็มานั่งคุยกันว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นทุกคนก็แล้วกันไปจนถึงตอนที่ผมบอกว่าเนี่ยตอนนี้นอนหลับกันผมฝันนะว่าผมนอนอยู่กลางบ้านที่ชั้น 1 ตรงเสาทางขึ้นบันไดในฝันผมนอนเปลือยทั้งตัวแล้วก็มีเด็กผู้หญิงยืนคร่อมผมอยู่ด้านบนในความฝันน่ะน้องเขาก็เบื่อเหมือนกันแล้วกำลังจะมีอะไรกับผมด้วยตรงเสากลางบ้านนั่นเลยแต่ยังไม่ทันได้มีอะไรดีกว่าเรียกผมให้ตื่นซะก่อน ในตอนนั้นพวกเราก็ยังไม่ได้ใจอะไรเล่าสนุกขำๆกันไปพวกเราคิดว่าในไหนก็มาเที่ยวกันแล้วอยู่ต่ออีกสักคืนก็ไม่น่าจะเป็นอะไรเพราะคิดว่าถ้าจุดธูปขอเจ้าทีก็น่าจะเพียงพอแล้วจากนั้นก็โทรชวนเพื่อนผู้ชายที่อยู่กรุงเทพฯให้มาอยู่เป็นเพื่อนเพิ่มอีก 1 คน ระหว่างที่รอเพื่อนมาสมทบอยู่นั้นพวกเราก็นั่งเล่นกันอยู่ในบ้านอยู่ๆก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาบอกว่าเป็นคนสวน พวกเราคุยกับแกไปได้สักพักแกก็แนะนำว่าให้ขับรถขึ้นไปไหว้พระบนเขาสิมีทำแล้วก็มีพระพุทธรูปอยู่ด้านบนสวยมาก พวกเราก็เลยไปตามเส้นทางที่แกบอกจนถึงทางขึ้นเขาซึ่งเป็นทางลูกรังที่ลาดชันทีแรกก็ฟื้นขับรถกันขึ้นไปแต่มีจังหวะหนึ่งที่รู้สึกว่ารถมันไหลพวกเราทุกคนต่างตกใจแต่ก็ผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้อย่างปลอดภัย เลยตัดสินใจว่าจะกลับไปที่บ้านพักดีกว่าเพราะมันอันตรายในขณะที่พวกเรากำลังถอยรถลงจากเขาอีสาวของผมก็เห็นคนสวนที่แนะนำให้ขึ้นไปไหว้พระขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามหลังพวกเรามาเลยคิดว่าท่าทางจะไม่ดีแล้วจึงรีบถอยรถยาวลงไป เพราะกลับมาถึงที่พักอย่างปลอดภัยเราก็เจอกับแม่บ้านพอดีเลยเล่าให้ฟังว่ามีคนสวนมาแนะนำให้ขึ้นไปไหว้พระบนเขาเมื่อแม่บ้านพี่ฟังก็ตกใจแล้วบอกว่าเพิ่งจะไปได้ยังไงคนนั้นไม่มีพระไม่มีทำอะไรเลยมีแต่คนเขาขึ้นไปฆ่ากันตายข้างบนเยอะมาก เมื่อแม่บ้านกุดโจดพวกเราก็สะดุ้งตกใจกันแบบสุดๆแล้วหลังจากนั้นคนสวนที่ว่าก็หายตัวไปไม่มาให้พวกเราพบเจออีกเลย

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

กระดูกผีร้องไห้ !!


             นาทีเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 20 กว่าๆมีพ่อชื่อองค์กรทั้งสองมีอาชีพขายเสื่อน้ำมันทุกวันและพีและทองก่อนจะนำเสื้อน้ำมันมะพร้าวแล้ววางท้ายมอเตอร์ไซค์ชีไปขายตามหมู่บ้านต่างๆซึ่งอาชีพมีหน้าที่และทองกรทำมาหลายปีแล้วก้มทะลุบ้านแต่ละหมู่บ้านก็รู้จักพ่อค้าเร่สองคนนี้เป็นอย่างดีอยู่มาวันหนึ่งของคนขี่รถมอเตอร์ไซค์คู่ใจไปตามถนนแล้วถูกรถปิคอัพเฉี่ยวชนรถทองก็ล้มลงตัวทองก้อนกระเด็นไปเกือบ 5 เมตรหัวฟาดพื้น นาทีซึ่งขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามหลังมาก็ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดคนขับรถปิคอัพรีบจอดรถลงมาให้ความช่วยเหลือและโทรเรียกรถพยาบาลแต่ก็ช่วยชีวิตทองก้อนไว้ในได้เมื่อท้องก่อนสิ้นใจคนขับรถปิคอัพได้รับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายในงานศพทั้งหมดและได้มอบเงินทำขวัญให้กับนาทีอีก 50,000 บาทแต่ถึงอย่างนั้นนะทีละอย่างก็ยังเศร้าโศกเสียใจที่ค่าหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัวไปหลังจากทำการเผาศพทองก้อนเรียบร้อยแล้วรุ่งขึ้นนาทีและยัดยาก็ไปป่าช้าเก็บกระดูกของทองก่อนที่เหลือจากการเผา ก็ได้กระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อยประมาณนี้ก็จึงนำมาห่อในผ้าขาวและใส่ไว้ในหม้อดินเสร็จแล้วจึงนำไปฝากไว้ที่บ้าน พ่อครบร้อยวันที่ทองก้อนตายก็ได้ทำบุญแล้วนำกระดูกของทองก่อนไปเก็บไว้ที่โกดเก็บกระดูกใกล้กับเจดีย์เก่าก็เก็บกระดูกของทองก่อนมีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมกว้างประมาณ 60 เซนติเมตรความสูงประมาณ 1 เมตรครึ่งส่วนด้านบนจะเป็นฝาเปิดได้ด้านในจะเป็นช่องสำหรับเอาไว้ใส่กระดูกทุกๆวันภาษาที่จะนำดอกไม้ธูปเทียนไปเยี่ยมคารวะกระดูกของพ่ออย่างสม่ำเสมอ เวลาผ่านไปประมาณ 3 เดือนวันหนึ่งตอนประมาณ 5 ทุ่ม 15 นาทีนาทีกำลังเคลิ้มจะหลับทันใดนั้นก็สะดุ้งสุดตัวเพราะได้ยินเสียงหมาหอนอยู่ในบริเวณใกล้ๆ สักพักก็ได้ยินเสียงคล้ายคนร้องไห้เปล่าๆเราเงียบไป นาทีนี้หูฟังอย่างตั้งใจแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรนะทีเลยคิดว่าน่าจะเป็นเสียงลมผ่านคืนต่อมาเป็นคืนที่ 2 ช่วงเวลาประมาณ 5 ทุ่มเศษๆเหมือนกันมาที่บ้านก็เริ่มพรรักกันเป็นระยะระยะนะที่นอนกระสับกระส่ายขณะที่กำลังคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็ได้ยินเสียงคล้ายคนเดียวชื่อ ซ้ำๆอย่างนั้นหลายครั้งแล้วเสียงนั้นก็เงียบหายไป  2 คืนแล้วที่นาทีได้ยินเสียงแปลกๆแต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร คืนถัดมาเป็นคืนที่ 3 บรรยากาศค่อนข้างมืดครึ้มเพราะมีเมฆฝนมานาทีจึงเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะที่หมู่บ้านเธอฝนตกไฟฟ้ามักจะดับรวมทั้งวันนี้นะที่รู้สึกอ่อนเพลียอยากพักผ่อน ขณะที่กำลังล้มตัวลงนอนก็ได้ยินเสียงหมาหอนขึ้นมาละมีเสียงเรียกอย่างชัดเจนว่า ช่วยพ่อด้วยนะที่ผุดลุกขึ้นแล้วตะโกนว่าอยู่ไหนใครจะทำร้ายพ่อ สิ้นเสียงของนาทีทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบกริบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ในใจของนาทีกลับคนคิดเป็นห่วงพ่อเกิดอะไรขึ้นกับพ่อถึงมีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นติดต่อกันถึง 3 วัน พอรุ่งเช้าและทีก็ได้นำดอกไม้และธูป 1​ ดอก ไปกราบโกศเก็บกระดูกของพ่อแล้วบอกพ่อว่าถ้าพ่อเดือดร้อนอะไรแล้วอยากให้นาทีช่วยเรื่องอะไรให้มาเข้าฝันนะทีในคืนนี้คืนวันที่ 4 นาทีรีบเข้านอนแต่หัวค่ำโดยหวังว่าวิญญาณพ่ออาจจะมาเข้าฝันแต่คืนนี้เมื่อนาทีเข้านอนทุกอย่างกลับเป็นปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนนาทีถอยหลับไป ในตอนเช้าของวันที่ 5 นาทีก็รีบไปที่วัดเพื่อไปไหว้กระดูกของพ่อก็ได้พบเด็กวัดคนหนึ่งกำลังกวาดลานวัดและทำความสะอาดบริเวณนั้นอยู่นทีจึงทักทายเด็กวัดคนนั้นคุยเรื่องทั่วๆไปแล้วเด็กคนนั้นก็ได้เล่าให้เราฟังว่าเมื่อประมาณ 4 วันที่ผ่านมาเวลาประมาณ 16:00 นได้มีชายแปลกหน้า 3 คนได้เข้ามาในวัดแล้วเดินวนเวียนที่โกดเก็บกระดูก เด็กวัดคนนั้นบอกว่าเขาไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าอาจจะเป็นลูกหลานมาไหว้กระดูกญาติของตนแล้วสักพักหนึ่งคนเรานั้นก็ขับรถออกไปนาทีได้ฟังก็นึกสังหรณ์ในใจว่าอาจจะเกิดเหตุร้ายขึ้นจึงได้เข้าไปในกุฏิของหลวงพี่และที่รู้ว่าที่วัดนี้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้หลายตัวจริงไปขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดตัวที่ติดตั้งบริเวณโกฐเก็บกระดูก และทีนี้ตรวจสอบและดูกล้องวงจรปิดย้อนหลังในช่วงวันและเวลาที่เด็กวัดคนนั้นได้บอกกล่าวก็พบว่ามีชาย 3 คนขับรถเก๋งสีดำยี่ห้อหนึ่งเข้ามาจอดอยู่ที่ลานวัดแล้วทั้งสามคนก็มาที่โกดเก็บกระดูกของทองก่อนจากนั้นช่วยกันยกส่วนบนของกดออกมีคนหนึ่งหยิบห่อผ้าขาวที่ข้างในมีกระดูกของทองก้อนออกไปแล้วทั้งสามคนก็ขับรถออกไปจากวัดนทีเห็นดังนั้นก็ใจสั่นที่คนมาขโมยกระดูกของพ่อไปคิดว่าคงจะเอาไปทำอะไรไม่ดีวิญญาณของพ่อจึงมาขอความช่วยเหลือ และที่ขออนุญาตหลวงพี่นำภาพจากกล้องวงจรปิดไปแจ้งความกับตำรวจ หลังจากตำรวจรับแจ้งความแล้วและทีจึงกลับบ้าน แต่คืนนั้นนะทีก็นอนไม่หลับเลยทั้งคืนในใจคิดเพียงแต่เรื่องราวของพ่อและคืนนี้ทุกอย่างก็เงียบไม่มีเสียงวิญญาณของพ่อมาขอให้ช่วยเหลืออีกเลย

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

วิญญาณ​เฮี้ยนผีหัวขาด !!


           เมื่อสมัยที่ 6 เมื่อสมัยที่มุกยังอาศัยอยู่ที่บ้านของคุณตาในจังหวัดเลยตอนนั้นมุกยังเล็กอยู่มาหาอายุได้ประมาณ 3 ขวบ อาศัยอยู่บ้านหลังนั้นกับตายายพี่สาวของแม่และแม่รวมทั้งหมด 5 ชีวิตนอกจากนี้ยังมีน้องสาวของแม่อีกคนไปทำงานอยู่เชียงรายนานๆจะได้กลับมาพักที่บ้านสักครั้งบ้านของตาเป็นบ้าน 2 ชั้นอยู่ติดกับถนนสายหลักและใกล้กับทางเชื่อมระหว่างอำเภอ เลยจากบ้านคุณตาไปหน่อยจะเป็นทางโค้งยาวๆมีราวเหล็กกั้นทางโค้งไว้ตลอดแนว เวลามีรถผ่านไปมาคนในบ้านก็มักจะได้ยินเสียงรถอย่างชัดเจนกลางดึกของคืนหนึ่งขณะที่หนูกำลังหลับสบายท่ามกลางเสียงฝนที่ตกลงมาปล่อยๆตายายและแม่ก็นั่งทำงานกันอยู่ที่หน้าบ้านตามปกติสักพักแม่ก็ได้ยินเสียงรถเป็นเสียงของรถจักรยานยนต์ดังมาแต่ไกลซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นรถคันใหญ่อยู่เหมือนกันแม่ยังนึกในใจอยู่ว่าขับรถเร็วในช่วงฝนตกอย่างนี้อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายไม่ทันไรแม่ก็ได้ยินเสียงโครมพร้อมกับเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังสนั่นตรงทางโค้ง จากนั้นก็มีเสียงรถไถลครูดกับถนนแล้วหยุดนิ่งลงเกือบจะถึงหน้าบ้านของตา ทุกอย่างเงียบลงเหลือเพียงแต่เสียงเครื่องรถจักรยานยนต์ที่ติดค้างไว้ถ้าว่างของในมือหลอกแล้วบอกยายกับแม่ว่าตาจะลองเดินไปดูสักหน่อยสักพักตาก็เดินกลับมาหน้าตาซีดเผือดไม่พูดจากับใครแล้วแกก็รีบเดินขึ้นบ้านไปขอย้ายกับแม่ตามขึ้นไปก็เห็นตากำลังนอนคลุมโปงตัวสั่นเหมือนกับเพิ่งเจอเหตุการณ์อันน่าหวาดกลัวสยดสยองสุดขีด พ่อแม่เห็นอาการของตาแล้วก็แปลกใจเพราะทุกครั้งที่เต้าไปดูเหตุการณ์เวลามีอุบัติเหตุก็ไม่เคยมีอาการหวาดกลัวอย่างที่เป็นในครั้งนี้แม่จึงตัดสินใจออกไปดูที่หน้าบ้านด้วยตัวเองขอแม่เดินออกไปจากประตูรั้วหน้าบ้านก็เห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังยืนส่องไฟฉายไปที่ถนนแม่ได้กลิ่นคาวเลือดโชยมาแต่ไกลไปถนนส่องสว่างเพียงเล็กน้อยท่ามกลางสายฝนปรอยๆ แม่เดินไปตามถนนเรื่อยๆจนเดินมาถึงกลุ่มชาวบ้านกำลังมุงดูรถบิ๊กไบค์คันใหญ่ล้มทับขาของชายคนหนึ่งที่กำลังหมดสติอยู่ ที่ต้นขาด้านซ้ายเขามีแผลฉกรรบอกว่าจนเห็นกระดูกเลือดสีแดงไหลนองเต็มพื้นถนนชาวบ้านกำลังพยายามหาทางช่วยชายคนนั้นแหละแม่ก็ได้ยินเสียงคนคุยกันว่าสักพักรถพยาบาลก็จะมาถึงเรา ทักษะชุดที่รถล้มไปก็มองเห็นร่างผู้หญิงนอนความอยู่ตรงสุดทางโค้งรูปร่างของผู้หญิงคนนั้นคล้ายกับน้องสาวของแม่มาด้วยความเป็นห่วงน้องสาวแม่จึงเดินตรงเข้าไปดูเพื่อความแน่ใจความรีบร้อนทำให้แม่เดินไปหยิบเลือกที่นอนบนพื้นถนนโดยไม่รู้ตัวเลือดเหนียวเหนอะหนะติดเท้าของแม่ทั้งสองข้างแต่แม่ก็ยังเดินตรงไปที่ห้องน้ำต่อท่อเดินเข้าไปไกลร่างของผู้หญิงประมาณ 3 เมตรแม่ก็สดงแทบจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ ร่างของผู้หญิงผิวขาวตัวเล็กบอกว่านอนคว่ำอยู่ตัวและศีรษะแยกออกจากกันอยู่คนละที่ตอนนั้นแม่ครัวมาแต่ก็ยังเป็นห่วงน้องสาวจึงเดินอ้อมไปดูใบหน้าของ seasonal รอยขาดที่ลำคอห่างจากปลายทางไปเพียงน้อยนิดแม่เห็นรอยเลือดตรงขอบพิการทางโค้งเป็นแนวยาวคิดว่าพ่อของผู้หญิงคนนี้คงไปพูดกับพี่กันทางโค้งจนร่างกับศีรษะขาดออกจากกัน พ่อแม่ได้เห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นก็โล่งใจที่ไม่ใช่น้องสาวของตัวเองตอนนั้นฝนหยุดตกแล้วทำให้แม่เห็นใบหน้าได้ชัดเจนขึ้นผู้หญิงคนนั้น แม่นึกเสียดายที่เธอต้องมาตายตั้งแต่อายุยังน้อยสภาพศพคอขาดสยดสยองมากไม่แปลกเลยที่ตาจะกลัวขนาดนั้น ขณะที่แม่กำลังมองดูใบหน้าของศพนั้นแม่ก็เห็นว่าศีรษะที่อยู่บนพื้นลืมตาขึ้นมามองและเหมือนจะยิ้มที่มุมปากแม่ตกใจร้องกรี๊ดลั่นพร้อมกับเอามือปิดหน้าจนชาวบ้านวิ่งตามมาดูประจวบกับที่รถพยาบาลมาถึงที่เกิดเหตุพอดีแม่จึงเงยหน้ามองรถพยาบาลเขาก็ไม่มองหน้าผู้หญิงคนนั้นก็เห็นศีรษะนั้นหลับตาคล้ายคนนอนหลับปกติ แม่ครัวมารีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับไปบ้านระหว่างทางจะต้องเดินผ่านจุดที่มีผู้ชายถูกรถบิ๊กไบค์ทับขาอยู่แม่เห็นเจ้าหน้าที่พยายามช่วยชีวิตผู้ชายคนนั้นอย่างเต็มทีและดูเหมือนกับว่าจะสายไปเสียแล้วถ้าผู้ชายคนนั้นแน่นิ่งไปไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้นใดๆ แต่แม่ก็ไม่ได้อยู่ดูเหตุการณ์ต่อเพราะภาพรอยยิ้มของศีรษะที่ขาดออกจากร้านนั้นยังติดตาของแม่อยู่แม่จึงรีบเดินไปถึงบ้านให้เร็วที่สุดวันลงคืนคุณตาก็รู้สึกดีขึ้นมาหลังจากที่ได้สวดหมดจนอาการกลัวหายไปแล้วตาเล่าให้แม่กับยายฟังว่าตอนที่เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นบนถนนตาตกใจมากกลัวว่าจะเป็นเรื่องของลูกสาวคนเล็กแกจึงรีบเดินไปดูหน้าของศพไกลๆแล้วตาก็เห็นรอยยิ้มจากใบหน้าของศพหัวขาดเหมือนกับที่แม่เห็นแกกลัวมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจึงรีบกลับเข้าไปในบ้านและยังไม่พร้อมจะเล่าให้ใครฟัง ขณะที่เราอยู่ในภาพนั้นก็ยังติดตาทำให้แกคนลูกอยู่เลย

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

คืนปล่อยผี !!


       หลังจากที่อำภาเสียชีวิตไปแล้วเธอได้ทิ้งลูกสาวอายุ 6 เดือนให้สินดูแล วศินได้จัดการงานศพของนำพาตามประเพณีชาวบ้านที่รู้ข่าวการตายของรัมภาก็ได้มาช่วยงานศพกันหลายคนในงานทุกคนอยู่ในอาการโศกเศร้าและกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าสงสารอำภาและลูกน้อยโดยเฉพาะลูกของอำภาที่ชื่อแก้วตา แม้จะเพิ่งอายุแค่ 6 เดือนแต่ก็ต้องมาขาดแม่เลี้ยงดูเสียแล้วยังดีที่มีตายายปู่ย่าและนานาซึ่งเป็นน้องของเราอีก 2 คนคอยดูแล cine ทั้งทั้งที่หัวใจแทบสลายที่คนรักที่จากไปแต่ได้ความรักและความรับผิดชอบต่อลูกหน่อยสินจึงตั้งใจไว้ว่าจะดูแลแก้วตาลูกรักอย่างดีที่สุด หลังจากเก็บกระดูกของนำพาแล้วจึงนำไปบรรจุไว้ในโกศที่วัดในหมู่บ้านเพราะครบ 7 วันหลังจากที่อำเภอเสียชีวิตไปรุ่งเช้ายายจวบแม่ของรัมภาก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาที่บ้านของเสียง ยายจวบเรียกสินอยู่นานเพราะศีลกำลังอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน วศินจะยายจวบสินก็ถามว่า แม่มีธุระอะไรหรือเปล่าถึงมาแต่เช้าตรู่อย่างนี้ ย้ายชั่วพูดหน้าตาตื่นว่าเมื่อคืนนี้ประมาณตี 3 อำภาได้มาเข้าฝันในฝันนั้นมาได้มายืนร้องไห้ที่หน้าบ้านคงใหญ่จวบเธอร้องไห้อยู่นานมากไม่ได้จดเดินเข้าไปหาอำภาก็สะอื้นแล้วบอกว่าคิดถึงลูกอยากจะไปหาแต่ก็ไปไม่ได้  Lamp พายังบอกอีกว่าที่ตนไปนานมีแต่ความมืดมองไม่เห็นอะไรแต่ได้ยินเสียงร้องครวญครางด้วยความทรมานของใครหลายๆคนส่วนนำพาก็ทรมานด้วยความหิวข้าวไม่ได้กินอะไรเลยและที่นั่นก็ยังหนาวมากอีกด้วยไม่มีที่หลับที่นอนอย่างสุขสบายเหมือนที่เคยอยู่ เขาพูดจบก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วภาพของรัมภาก็ค่อยๆเลือนหายไป ยายชวดจึงตกใจสะดุ้งตื่นจะนอนต่อก็นอนไม่หลับจึงเฝ้ารอให้สว่างแล้วก็รีบขี่มอเตอร์ไซค์มาบ้านของเสียงหัวจะมาปรึกษาว่าจะทำยังไงดี สินเชื่อฟังเรื่องราวความฝันที่ยายจวบเราก็นึกสงสารอำภาจับจ่ายอกคนเป็นแม่ที่สูญเสียลูกสาวก็คงจะเป็นห่วงดูแต่ยังไม่ทันที่สินจะกล่าวว่าอะไรนางจำปาแม่ของสิทธิเดินเข้ามาได้ยินยัยจวบเล่าเรื่องความฝันพอดี นางจำปาก็เลยบอกว่าเพื่อความสบายใจยายจวบกับนางจำปาจะพากันไปหาคนทรงเจ้าที่ท้ายหมู่บ้าน ซึ่งเล่าลือกันว่าสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้ให้คนทรงทำพิธีเรียกวิญญาณของนำพามาทำให้ยายชวดเห็นดีเห็นงามด้วยจึงกล่าวตกลงไปว่าจะไปด้วยกันส้นตีนก็ให้ไปทำงานตามปกติถ้านางจำปาได้เรื่องราวอะไรแล้วจะมาเล่าให้ฟัง ยัยตัวกับนายจำปาจึงช่วยกันเตรียมดอกไม้ธูปเทียนเสื้อผ้าของใช้ของนำพาและเสื้อของนางจำปาไปอีก 2-3 ตัวนางจำปาได้นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของใหญ่จุมุ่งหน้าไปท้ายหมู่บ้าน เวลาประมาณ 10 โมงเช้าทั้งสองก็ถึงบ้านคนทรงเจ้าแล้วสังเกตเห็นว่ามีชาวบ้านมาก่อนหน้านี้แล้ว 4-5 คน นางจำปาแม่ยายตัวจริงนั่งรออยู่ด้านล่างของห้องโถงใหญ่ที่มีขนาดความกว้าง 6 เมตรและยาว 7 เมตรด้านหน้าห้องมีแท่นบูชาซึ่งมีทั้งพระพุทธรูปรูปปั้นของเทพเทวดาต่างๆอยู่มากมาย ถ้าจะแท่นบูชาก็เป็นแทนหน้ากว้างประมาณ 1 เมตรคูณ 1 เมตร 50 เซนติเมตรด้านบนปูเบาะรองนั่งสีแดงมีชายคนหนึ่งอายุประมาณ 40 ปีหน้าตาดูอิ่มเอิบผ่องใสนั่งอยู่บนแทนนางเท้าข้างหนึ่งห้อยลงมาแต่บนพื้นดูแล้วน่าจะเป็นคนทรงเจ้าที่ร่ำลือกันด้านหน้าของคนส่งมีชาวบ้านนั่งเรียงรายเป็นแถวหน้ากระดาษแต่ละคนก็รอให้ถึงคราวของตัวเอง จะได้ถูกเรียกให้เข้าไปพบคนโสด นางจำปาสังเกตดูคนทรงทำพิธีต่างๆอย่างสนใจบางคนมาถามเรื่องความฝันบางคนมาถามเรื่องคนหรือของหายและบางคนก็มาขอน้ำมนต์ไปรักษาโรคเพราะถึงเวลาคนทรงก็เรียกนางจำปาและยายจวบให้เข้าไปนั่งใกล้ๆ แล้วก็แค่นางจำปาใส่เงิน 300 บาทลงไปในขันเพื่อเป็นค่าครูนางจำปาดิบเงินใส่ขันโดยไม่ดีหรอกหลังจากนั้นจึงวางดอกไม้ธูปเทียนและเล่าความฝันให้คนส่งฝากคนทรงพยักหน้ารับรู้แล้วก็เริ่มทำพิธีเรียกวิญญาณของรัมภาโดยนำขันน้ำมนต์มาวางตรงหน้าแล้วจุดเทียนไขเพื่อให้น้ำตาเทียนหยดลงไปในขัน ระหว่างนั้นขนส่งก็หลับตาสวดบริกรรมคาถาพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์จับภาพร่างของคนทรงก็สั่นสะท้านไปทั้งตัวเพราะอาการสั่นหยุดหรอกขนส่งก็ลืมตาไปมองที่ใหญ่จุแล้วพูดออกมาว่าแม่จ๋า หนังจําปารีบกระเถิบเข้าไปใกล้ๆขนส่งนำเสื้อผ้าข้าวของที่เตรียมมาวางเรียงไว้ตรงหน้าแล้วพูดว่า น้ำตาถ้าเป็นเจ้าจริงขอให้หยิบเสื้อผ้าและข้าวของที่เป็นของนำพาขึ้นมาให้แม่ดูหน่อยๆร่างขนส่งก็ก้มลงหยิบเสื้อผ้าและของใช้ที่เป็นของรัมภาได้อย่างถูกต้องทุกชิ้น ยายจวบเห็นดังนั้นก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่สนว่าจะไปนั่งจำป่าจึงทำภายในร่างขนส่งวา เป็นยังไงบ้างเอาผ้าในร่างคนทรงก็ร้องไห้แล้วบอกว่า คิดถึงลูกแก้วตามาทุกวันนี้ก็อดอยากไม่ได้กินอะไรเลยพี่อยู่ก็มืดมา แต่ยังไม่ทันที่นางจำปาจะได้ถามไถ่อะไรต่อร่างคนทรงก็มีอาการสั่นสะพานแล้วล้มลงไปนอนแน่นิ่งบนแท่นดัง สักพักใหญ่ร่างทรงก็พลิกตัวและค่อยๆลุกขึ้นนั่งเหมือนคนหมดแรง เมื่อคนทรงหายจากอาการมึนงงแล้วลูกศิษย์ของคน 2 ที่นั่งอยู่ใกล้ๆก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คนสงสาร คนทรงจึงพูดกับยายจวบและนางจำปาว่าวิญญาณของคนตายต้องการอาหารและที่อยู่ ทุกๆวันพระให้ทำบุญตักบาตรด้วยอาหารคาวและหวาน เที่ยวผาช่อแล้วให้ซื้อบ้านเล็กๆเหมือนกับศาลพระภูมินำไปไว้ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างถนนจากนั้นให้มาติดต่อขนส่งเพื่อไปทำพิธีปล่อยวิญญาณของนำพาให้มาอยู่ที่บ้านเล็กหลังนั้นซึ่งจะต้องเสียค่าทำพิธีอีก 500 บาท นางจำปาและใหญ่จวบจึงเดินทางกลับบ้านตั้งใจจะทำตามที่คนส่งบอกเราสงสารวิญญาณของอำเภอไม่กี่วันหลังจากนั้นสินและนางจำปาก็ได้ให้คนทรงธรรมวิธีบอกวิญญาณของนำพาให้ไปอยู่ใน บ้านหลังเล็กที่เตรียมไว้แล้วเหตุการณ์ต่างๆก็เป็นปกติไม่มีใครในครอบครัวฝันเห็นอัมไพร์ ส่วนน้องแก้วตาก็เจริญเติบโตด้วยการดูแลเอาใจใส่จากเศษและปู่ย่าตายายจนน้องแก้วตาอยู่ได้ประมาณ 5 ขวบกว่า คืนวันหนึ่งน้องแก้วตาก็ปลุกให้สินไป 1 คืนพร้อมกับเราว่าแม่อำภาได้มาหาตดเธอมากอดตรวจและใช้มือลูบศรีษะแล้วแม่ก็เดินจากไปฉันเข้าใจว่าน้องแก้วตาคงฝันไป แต่น้องแก้วตาก็ยืนยันว่าไม่ได้ฝากแม่อำภามาหาน้องแก้วตาจริงๆ ซิมก็เริ่มเชื่อตามที่น้องแก้วตาบอกเราก่อนหน้านั้นซึ่งก็ได้ยินเสียงหมาหอนรับกันเป็นทอดๆและเงียบหายไป

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

อาถรรพ์​เสือเผ่น !!


            เรื่องเล่าจากประสบการณ์ของลุงดวงแก้วที่ได้ประสบพบเจอมาเมื่อสมัยที่ลุงดวงแก้วเป็นหนุ่มๆประมาณปีพ.ศ 2507 ตอนนั้นลุงดวงแก้วอายุประมาณ 25 ปีซึ่งเป็นวัยที่กำลังแข็งแรงลุงดวงแก้วและมีอาชีพทำไร่ทำนาเหมือนกับคนทั่วทั่วไปในหมู่บ้านหากว่างจัดงานเลี้ยงดวงแก้วก็จะไปรับจ้างทำงานโดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นงานอะไร งานที่ลุงดวงแก้วถนัดก็คือการรับจ้างเป็นโรคห่าขนของไปยังหมู่บ้านมูเซอที่อยู่บนภูเขาใกล้ๆหมู่บ้านซึ่งลุงโดมแก้วจะรู้จักเส้นทางดีขึ้นลงภูเขาลูกนี้เป็นประจำจนได้รู้จักและมีเพื่อนเป็นชาวมูเซอ ลุงดวงแก้วยังเคยรับจ้างพวกมูเซอให้ช่วยค้นเกลือเป็นกระสอบกระสอบได้ขึ้นภูเขาเพราะตอนนั้นเรื่องนี้ราคาค่อนข้างแพงและเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้บนภูเขามานอกจากนี้หลวงดวงแก้วก็ยังรับจ้างเป็นคนนำทางให้กับนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติพาชมภูเขาน้ำตกหรือทำและสถานที่ท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์สวยงาม ถ้ามีใครจะไปภูเขาลูกนี้ล้มดวงแก้วก็จะเป็นรายชื่ออันดับต้นๆที่ถูกเรียกใช้บริการเพราะเป็นนักนำทางและลูกหาบชั้นดีที่มีความแข็งแรงและเชี่ยวชาญเส้นทางเป็นอย่างดี ในช่วงฤดูฝนประมาณต้นเดือนสิงหาคมนี้คนมาจ้างให้ลุงดวงแก้วไปเป็นลูกค้าและคนนำทางไปหมู่บ้านชาวมูเซอที่อยู่บนภูเขา ในกลุ่มนั้นมีชาวต่างชาติ 6 คนเป็นผู้ชาย 4 คนผู้หญิง 2 คนพร้อมกับรำไทยอีก 1 คนเมื่อได้คุยกับเราจึงได้ทราบว่าชาวต่างชาติเหล่านี้เป็นพวกครูและหมอสอนศาสนาซึ่งพวกเขาพอจะพูดภาษาไทยได้บ้างแล้วแต่ก็อยากไปประกาศศาสนาและไปดูแลรักษาช่วยเหลือคนเจ็บป่วยในหมู่บ้านมูเซอนั้นจึงต้องพารามที่พูดภาษามูเซอไปด้วยข้าวของที่จะให้พวกลงดวงแก้วคนขึ้นไปก็จะมีเครื่องใช้ส่วนตัวที่เป็นเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นนอกจากนั้นก็จะเป็นพวกอาหารกระป๋องและอาหารแห้งรวมทั้งยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ รุ่งดวงแก้วแนะนำไปแล้วว่าไม่ควรเดินทางในช่วงฤดูนี้เพราะถ้าฝนตกหนักหรือเจอดินโคลนถล่มการเดินทางจะลำบากมาซึ่งข้าวของที่ออกมาก็มีจำนวนมากและหนักเอาการอยู่และจะรอให้ช่วงมรสุมผ่านพ้นไปก่อน ไปชาวต่างชาติก็ยังยืนยันว่าจะไปให้ได้เพราะเป็นโครงการที่ได้วางแผนเอาไว้แล้วการขึ้นไปบนภูเขาครั้งนี้ตั้งใจจะอยู่ที่หมู่บ้านมูเซอเป็นแรมเดือนถ้าคนของขึ้นไปส่งเสร็จแล้วพวกของลุงดวงแก้วก็สามารถเดินทางกลับได้เลย หลังจากตกลงราคาเรียบร้อยแล้วลงดวงแก้วก็ไปหาคนในหมู่บ้านอีก 3 คนมาเป็นลูกหาบในขณะด้วยซึ่งหาได้ไม่ยากเพราะลุงดวงแก้วมีเพื่อนเป็นลูกหาและเคยทำงานด้วยกันมาแล้ว ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 10:00 นการเดินทางจากหมู่บ้านข้างล่างไปยังหมู่บ้านของมูเซอจะใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ลุงดวงแก้วเห็นว่าถ้าเดินทางไปถึงแล้วกลับลงมาอีก 5 ชั่วโมงคงกลับลงไปที่หมู่บ้านข้างล่างไม่ทันก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน จึงคุยกับพวกลูกหากว่าจะนอนที่หมู่บ้านมูเซอ 1 คืนแล้วจึงเดินทางกลับในตอนเช้า เมืองทองกับเราทุกคนก็เตรียมตัวออกเดินทางจริงทั้งที่ลุงดวงแก้วคาดการณ์ขอเดินทางออกจากหมู่บ้านเข้าเขตชายป่าฝนก็ตกลงมาอย่างหนักแม้ว่าทุกคนจะมีเสื้อกันฝนก็จริงแต่ทางเดินลื่นและชื่อแขกถึงต้องเดินอย่างระมัดระวังทำให้การเดินทางล่าช้าไปมาจนกระทั่งเหลือระยะทางที่จะถึงหมู่บ้านมูเซออีกประมาณ 5 กม. แต่ตอนนั้นก็เย็นมากแล้วทุกคนหิวและเหน็ดเหนื่อยกันมาถึงตกลงกันว่าจะกางเต็นท์นอนกลางป่า 1 คืน เมื่อฝนหยุดตกเราลูกหาบและนายฝรั่งก็ช่วยกันทำมาด้วยการนำอาหารกระป๋องที่นายฝรั่งเตรียมมาตั้งไฟอุ่นแล้วก็กินกันพอประทังชีวิตไปได้เต็นท์ที่การนอนกันนานเต็มๆขนาดใหญ่นอนได้ประมาณ 7 คน ลูกหาบจึงช่วยกันการเป็น 2 เต็มกรุงของนายฝรั่งและราม 186 ลูกหาบนอน 1 แต่เมื่อรับประทานอาหารเสร็จทุกคนก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้านอน จากนั้นรุ่งดวงแก้วก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลียเพราะตื่นขึ้นมาอีกทีก็ไม่รู้ว่าเป็นเวลากี่โมงแต่คิดว่าคงจะดึกมากแล้ว ตอนกลางคืนในป่าน่ากลัวมากมีเสียงจิ้งหรีดร้องระงมไปทั่วมีเสียงนกร้องน่าขนลุกและมีเสียงลิงชะนีบางข้างร้องโหยหวนมาเป็นระยะระยะในขณะที่ลุงดวงแก้วกำลังเคลิ้มจะหลับต่อก็ต้องตกใจเพราะได้ยินเสียงหวีดร้องดังมาจากเต็มของนายฝรั่งลงดวงแก้วถึงกรุเพื่อนๆลูกค้าแล้ววิ่งไปที่เต็นท์ของนายฝรั่งที่อยู่ไม่ห่างกันมากนักก็ได้ทราบเรื่องว่าแหม่มคนหนึ่งโดนแมงป่องต่อยที่เท้าร้องและดิ้นทุรนทุรายความเจ็บปวดแต่โชคยังดีที่มียามาด้วยก็เลยช่วยกันทายาสวนอาการทุเลาลง น้องดวงแก้วเตือนฝรั่งพวกนี้ว่าให้ระวังสัตว์มีพิษในป่าพวกงูตะขาบและแมงปอซึ่งจะออกหากินตอนกลางคืนถ้าไม่ระวังอาจจะถูกมันกัดต่อยได้แล้วจึงช่วยกันหาลูกหรือช่องว่างในเต็นท์ติดไม่ให้สัตว์เข้ามาได้ ฟ้าสางหลังจะเก็บข้าวของกันแล้วก็เดินทางกันต่อ ทางขนาดเดินมาเกือบเกือบ 1 ชั่วโมงก็มาถึงจุดหมายปลายทางที่หมู่บ้านมูเซอ หัวหน้าเผ่ามูเซอและชาวบ้านก็มาตอนเราล้มดวงแก้วทักทายคนที่แกรู้จักอยู่หลายคนชาวบ้านมูเซอดีใจมากที่ทราบจากรามว่าคนต่างชาติกลุ่มนี้จะมาช่วยเหลือเพราะบางคนเป็นหมอและมียาสมัยใหม่มาด้วย ตอนนั้นไอ้หมู่บ้านนี้กำลังมีโรคไข้เลือดออกระบาดอยู่พอดีกลุ่มคนต่างชาติกลุ่มนี้จึงได้ปักหลักรักษาคนป่วยที่ตรงศาลากลางหมู่บ้านและกางเต็นท์ที่พักใกล้ๆกับศาลานะเนี่ย ชาวมูเซอทั้งหญิงและชายลูกเล็กเด็กแดงหากันมารักษาเกือบทั้งวันบางคนมีแผลติดเชื้อบางคนเป็นไข้หวัดขี้มูกไหลย่อยบางคนเป็นไข้เลือดออกนอนหมดแรง มีชายคนหนึ่งอายุประมาณ 20 กว่าๆครับเนื่องจากตกต้นไม้เขานอนระบบปวดแผลที่ติดเชื้ออักเสบและเป็นไข้ตัวร้อนน้องดวงแก้วได้ช่วยแหม่มฝรั่งที่เป็นหมอเช็ดตัวของชาวมูเซอคนนี้ที่ชื่ออะตอมฝรั่งให้ลุงดวงแก้วถอดเสื้อผ้าอากรเพื่อเช็ดตัวลดไข้ถ้าหน้าที่ถอดเสื่อผ้าลุงดวงแก้วก็เห็นรูปรอยสักอยู่ที่แผ่นหลังของอาโกเป็นรูปเสือเผ่นเต็มหลังฝีมือการสักสวยงามมากจนมาทราบทีหลังว่าเป็นฝีมือของหมอผีประจำหมู่บ้าน หลังจากเช็ดตัวเสร็จแล้วฝรั่งก็เข้ามาฉีดยาก่อนล้มตัวลงนอนต่อแล้วร้องครางด้วยความทรมานเพราะพิษไข้พอตกเย็นที่บ้านพักศาลากลางหมู่บ้านก็มีคนไข้นอนพักอยู่เต็มไปหมดจนแทบจะกลายเป็นโรงพยาบาล วันนี้ลุงดวงแก้วและลูกหาได้อยู่ช่วยเหลือและดูแลคนป่วยทั้งวันจึงไม่ได้เดินทางกลับทำไม่ต้องการเตียงนอนที่หมู่บ้านมูเซออีก 1 คือ ตกดึกเมื่อทุกคนเข้านอนกันหมดแล้วเวลาประมาณ 09:00 นอุ้มดวงแก้วก็สะดุ้งสุดตัวเพราะมีเสียงร้องของเสือดำรอบๆหมู่บ้าน พร้อมกับเสียงสิงสาราสัตว์ต่างๆจึงพบพานส่งเสียงดังหัวหน้าหมู่บ้านและหมอผีประจำหมู่บ้านก็อยู่ที่นั่นด้วยทุกคนวิ่งมารวมกันที่ศาลากลางหมู่บ้านแสงไฟจากกล่องเปิดที่ก่อไว้ 3-4 ก็ช่วยให้ศาลาสว่างเพียงพอที่จะมองเห็นหน้ากันได้ลงดวงแก้วสังเกตเห็นหน้าของหมอผีประจำหมู่บ้านเมื่อมีอาการตกใจหน้าตาตื่นอย่างเห็นได้ชัดแล้วหมอผีก็พูดว่าเขาทำอะไรไม่ดีไว้หรือเปล่า คณะที่ยังไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมาหากอที่หาและนอนทรงด้วยผิดก็ได้ลุกขึ้นทำท่าคร่อมแบบสัตว์ 4 เท้าแล้วส่งเสียงร้องออกมาซึ่งมันดูคล้ายกับเสียงเสือแต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะทำอะไรหากอก็กระโจนเข้าใส่ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นสักพักก็มีเสียงร้องอีกอ่ะโวยวายแล้วก็อย่างว่ามีคนที่ถูกกัดแขนเป็นแผลเหวอะว่าบางคนทุกข์เล็บมือขวดที่ใบหน้าศีรษะเลือดไหลอ่ะไปทั่วตัวมีคนหนึ่งถูกกัดที่ลำคอ เลือดพุ่งกระฉูดออกมาเหมือนก๊อกน้ำรั่วผู้คนแตกตื่นชุลมุนวุ่นวายคนไข้ที่นอนป่วยต่างลุกขึ้นวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเมื่อนายฝันเห็นเหตุการณ์วุ่นวายที่แทบจะควบคุมไม่อยู่จึงรีบไปเอาปืนลูกซองยาวมาแล้วเร่งลำกล้องไปเนี่ยก็เพราะท่าทางของเราในตอนนั้นน่ากลัวมากดวงตาของเขาแห่งพราวดุดันมองตาขวางทั้งยังขู่คำรามเราก็ทำท่าเหมือนกับว่าตัวเองนั้นเป็นเสือ เมื่อหันมาเห็นนายฝรั่งถึงรีบร้องห้ามเอาไว้พร้อมกับสั่งให้คนในหมู่บ้านให้ช่วยกันจับตัวก็พวกเขาใช้เวลาอยู่พักหนึ่งถึงจะตัวก็ได้จากนั้นหมอผีก็เอาใส่สร้อยที่มีตะกรุดขนเสือไฟห้อยอยู่ มาสวมคอของอาก็ร้องลันแล้วจึงสนุกและทรุดตัวลงนั่งอย่างเจ็บปวด เมื่อเหตุการณ์สงบลงทุกคนก็ช่วยกันเอวยารักษาคนเจ็บ แม้จะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายแต่ก็ยังโชคดีที่เหตุการณ์นี้ไม่มีใครเสียชีวิตเช้าวันต่อมารุ้งดวงแก้วจึงได้รู้ว่าสาเหตุที่ก่อมีอาการอย่างนั้นเพราะของขึ้นจากรูปสักเสือเผ่นที่ได้ลงคาถาอาคมเอาไว้ หมอผีเด้อยากกอดแขวนตะกรุดขนเสือไฟอาถรรพ์ไว้ที่เอวเมื่อวานนี้ก็ไข้ขึ้นสูงต้องถอดเสื้อผ้าเช็ดตัวจากนั้นมันฝรั่งก็ได้เข้าไปฉีดยาแล้วถอดเอาตะกรุดขนเสือไฟออกจากเอวเพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไรและเห็นว่าเกะกะ หอไม่มีตะกรุดสะกดอาคมเอาไว้จึงทำให้มีอาการของคุณกลายเป็นเสือแล้วอาละวาดอย่างที่เห็นในฝรั่งจึงตัดสินใจบอกลุงดวงแก้วว่าพบคุณหมอสอนศาสนาจะกลับลงไปพร้อมกับพวกของลุงดวงแก้วด้วยแล้วค่อยหาโอกาสกลับขึ้นมาใหม่เพราะเห็นว่าตอนนี้จะเปลี่ยนความเชื่อของคนในหมู่บ้านมูเซอคงทำได้ยากเพราะของเขามันแรงจริงๆ

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ตะแกรงเผาผี​ "มันมาทีละตัว" !!


             คนอาศัยอยู่ร้อยกว่าหลังคาเรือนผู้คนส่วนใหญ่นั้นล้วนแล้วแต่เป็นเครือญาติกันใกล้ชิดกันบ้างหรือห่างๆกันบ้างคนในหมู่บ้านจึงรู้จักกันเกือบทุกคนตั้งแต่หัวบานจนถึงท้ายบ้าน นี่คือเหตุการณ์เมื่อประมาณ 30 ปีที่ผ่านมาในปัจจุบันมีผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านค่อยๆล้มหายตายจากกันไปทีละคนส่วนเด็กๆรุ่นใหม่ก็ไม่มีเวลาวิ่งเล่นเหมือนเด็กๆสมัยก่อนเรามัวแต่ไปเรียนหนังสือกันในเมืองการที่จะได้รู้จักกันเกือบทุกคนต้องถามกันว่าเด็กคนนั้นชื่ออะไรเป็นลูกของใครทั้งในหมู่บ้านก็เริ่มมีคนแปลกหน้าเข้ามาอาศัยอยู่โดยเฉพาะพวกแรงงานต่างด้าว เหตุผลเนื่องจากเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้วมีถนนใหญ่ตัดผ่านใกล้ๆหมู่บ้านต่อมาความเจริญเริ่มรุกล้ำเข้ามาสองฟากฝั่งของถนนกลายเป็นที่ตั้งของโรงงานต่างๆเช่นโรงงานทำขนมโรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าโรงงานผลิตชุดชั้นในโรงงานผสมปูนผลิตเหล็กและพวกขายหินดินทรายแม้กระทั่งโกดังให้เช่าสำหรับเก็บสินค้าถ้าคนในหมู่บ้านอยากจะสร้างบ้านสักหลังหรือต้องการเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านก็ไม่ต้องไปที่ไกลเพราะแถวๆบ้านมีร้านให้เลือกซื้อเต็มไปหมดเมื่อมีพบคนแปลกหน้าเข้ามาทำงานในโรงงานใกล้ๆหมู่บ้านถึงเป็นช่องทางของคนในหมู่บ้านที่มีอันจะกินได้สร้างหอพักให้คนงาน เหล่านั้นเช่าคนในหมู่บ้านก็มีงานทำในโรงงานใกล้ๆบ้านเช่นกันเมื่อเศรษฐกิจดีลูกหลานก็พลอยสบายไปด้วย มีเงินใช้จ่ายไปกินขนมที่โรงเรียนกันอย่างสบาย ปัจจุบันปัญหาในหมู่บ้านที่ผมอยู่ก็คือปัญหาเรื่องยาเสพติดไม่ว่าวัยรุ่นหรือวัยทำงานต่างก็เป็นทาสของยาบ้าบางคนติดงอมแงมการงานไม่ทำแต่มีเงินซื้อยามาสิทธิ์ได้บางคนก็หาเงินจากการขายยาบ้าทั้งขายทั้งเตะบางคนก็หารายได้จากการลักเล็กขโมยน้อยทำให้ยามค่ำคืนไม่มีใครกล้าออกไปไหนถึงแม้อย่างนั้นข้าวของเล็กๆน้อยๆก็หายกันเป็นประจำอะไรที่หยิบฉวยไปขายร้านขายของเก่าได้ก็จะถูกขโมย แม้แต่มากวัดน้ำในแต่ละบ้านถ้าเจ้าของบ้านเผลอมันก็จะถูกขโมยไปเพราะในนั้นมีทองเหลืองอยู่ขายได้เล็กๆน้อยๆมันก็เอา แม้กระทั่งสายไฟสวนไหนไม่ไปดูแลก็จะถูกตัดสายไฟแกไปขายร้านขายของเก่าผู้ใหญ่บ้านเคยพาตำรวจไปตรวจค้นที่ร้านขายของเก่าในหมู่บ้านก็เพราะของกลางมากมายจึงได้จับกุมตัวดำเนินคดีทั้งผู้ขายและผู้รับสื่อแต่ก็ยังมีตัวตายตัวแทนไม่รู้จบ จนในหมู่บ้านต้องทำโครงการหมู่บ้านสีขาวปลอดยาเสพติดและการพนันวันหนึ่งผมได้ยินผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านอีก 4 5 คนกำลังนั่งปรึกษาหารือกันเรื่องตะแกรงเหล็กในหมู่บ้านที่หายไป 4-5 อัน ตะแกรงเหล็กเป็นตะแกรงที่ปิดท่อระบายน้ำตามถนนในหมู่บ้านถูกขโมยไปในคืนวันนี้ฝนตกหนักเดือดร้อนทั้งหมู่บ้านต้องรีบหาตะแกรงมาปิดท่อระบายน้ำใหม่ไม่อย่างนั้นทั้งรถและคนของตกท่อเกิดอุบัติเหตุได้ ขณะที่กำลังปรึกษากันว่าใครจะไปหาตะแกรงมาซักผ้าถุงมือสปอยเลอร์ประจำหมู่บ้านก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาแล้วบอกลุงผู้ใหญ่ว่าตะแกรงเผาศพที่ตั้งอยู่บนเมรุ 2 อันถูกขโมยหายไปลุงผู้ใหญ่บ้านจึงพูดว่าเอากันหนักแล้วนะบ๊ายบายตะแกรงเผาก็ยังขโมยไปใหญ่จึงชวนชาวบ้านอีก 4-5​ หลัง หลวงพ่อใหญ่ถึงชวนชาวบ้านอีก 4 5 คนไปที่ร้านขายของเก่าเพื่อหาหลักฐานเพราะเชื่อแน่ว่าพวกขโมยน่าจะเอามาขายที่ร้านมีแต่เมื่อไปตรวจดูแล้วก็ไม่พบหลักฐานใดๆลงผู้ใหญ่จึงไปที่โรงงานถลุงเหล็กที่อยู่ใกล้ๆหมู่บ้านก็ไม่พบหลักฐานเห็นใดคนงานกำลังถลุงเหล็ก ไฟแดงโล่ลุกโชนอยู่ตรงนั้น แม้ปัญหาเรื่องขี้ยาจะระบาดน่ะมันก็ยังไม่ทำให้ผมหนักใจเท่ากับบ้านของผมที่มีปลวกระบาดอย่างหนักบ้านของผมเป็นบ้านไม้สองชั้นพวกที่บ้านก็มักจะแลกกล่องกระดาษหนังสือและเสื้อผ้าผมกลัวว่าสักวันหนึ่งมันจะมากินบ้างของผมและสร้างความวุ่นวายให้มากกว่านี้จึงพยายามใช้ยาฆ่าแมลงฉีดมาแต่ตัวก็ยังระบาดอยู่มันกัดกินโครงหน้าต่างฝ้าเพดานลายโครงหลังคาจนแทบจะทรุดพังลงมา ผมเลยตัดสินใจหรือบ้านและขายไม้เก่าให้กับพวกทำเฟอร์นิเจอร์ในหมู่บ้าน ส่วนตัวผมเองพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้างจึงตัดสินใจสร้างบ้านหลังใหม่ตรงจุดเดิม แต่คราวนี้ผมสร้างเป็นบ้านปูนหน้าต่างประตูเป็นเหล็กอลูมิเนียมที่ขายสำเร็จส่วนหลังคาก็เป็นโครงเหล็กแล้วเจอบ้านหลังนี้ต้องร้องไห้แน่ๆก็ไม่มีส่วนประกอบของไม้เลย วัสดุอุปกรณ์ที่ชายก็ได้มาจากโรงงานแถวๆหมู่บ้านมีโรงงานและห้างใหญ่เปิดอยู่แค่เดินเข้าไปชี้นิ้วเพียงเท่านั้นเขาก็เอาของมาส่งให้ถึงบ้าน เมื่อบ้านผมเสร็จก็ทำพิธีขึ้นบ้านใหม่นิมนต์พระมาสวดเพื่อเป็นสิริมงคลและมีการอุ้มพระพุทธรูปเข้าไปไว้ในบ้านผมคิดว่าตัวผมนั้นได้ทำที่ดีขึ้นบ้านใหม่อย่างสมบูรณ์ที่สุดแล้ว แต่เชื่อไหมครับว่าบ้านผมที่สร้างใหม่ขอเข้าไปอยู่จริงๆร้อนแทบจะไม่ได้เลยคืนแรกที่ผมไปนอนก็ได้ยินเสียงโครงเหล็กหลังคาบ้านดังปังปังเคยมีคนบอกว่าบ้านที่สร้างด้วยเหล็กใหม่ๆเล็กจะยืดและหดตัวทำให้เกิดเสียงดังได้เขาเรียกกันว่าเหล็กลั่นตัวแต่ถึงอย่างนั้นผมก็แปลกใจว่าเสียงเหล็กลั่นตัวน่าจะเกิดตอนกลางวันมากกว่าแต่นี่เป็นตอนกลางคืนอากาศก็เย็นทำไมเหล็กยืดหดตัวอยู่ ผมเก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วพยายามข่มตานอนขณะที่ผมกำลังเคลิ้มจะหลับก็รู้สึกตัวแข็งขยับตัวไม่ได้สักพักก็มีเงาดำๆขึ้นมาบนเตียงที่ผมนอนอยู่เห็นเงารูปร่างลักษณะเหมือนคนมีอยู่หลายคนเหงานั้นกระโดดขึ้นมาบนเตียงทีละตัวทีละตัวจนมีถึง 4-5 ตัวแล้วพวกมันก็กระโดดบนเตียงของผมมันทำให้ตัวผมนั้นกระเด้งกระดอนจากแรงสะท้อนของสปริงในเตียงที่พม่าอยากจะรู้แต่ก็ขยับไม่ได้เลยเริ่มสวดมนต์ในใจ ไม่นานน่ะแรงกระโดดนั้นก็ค่อยๆหายไปแต่ผมก็ยังขยับตัวไม่ได้ว่าที่ผมจะขยับตัวได้อีกครั้งก็ใช้เวลานานพอสมควร แม้ว่าจะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ผมก็ยังคิดว่าอาจเป็นเพราะผมก่อนเปียจึงเกิดอาการแบบนั้นและฝันไป พื้นที่ 2 หลังจากอาบน้ำเสร็จเวลาประมาณ 21:00 นผมก็ได้ยินเสียงผู้หญิงผู้ชายและมีเด็กๆกำลังเดินอยู่ในบ้านบ้างก็มีเสียงหัวเราะบ้างก็มีเสียงร้องไห้ คนปนกันไป มันดังจนผมแน่ใจว่าเป็นเสียงที่เกิดขึ้นในบ้านของผมอย่างแน่นอนสักพักก็มีกลิ่นโชยมามันเป็นกลิ่นเหม็นเน่าแล้วก็กลายเป็นกลิ่นเนื้อที่เหมือนกับว่ามันถูกเผาไฟจะไหม้เกรียม แม้ว่าผมจะเป็นผู้ชายอกสามศอกไม่ค่อยจะกลัวอะไรง่ายๆถ้าเจอแบบนี้ก็หลอนอยู่เหมือนกันผมทำใจกล้าลองเปิดประตูออกไปดูก็ไม่เจอใครเพราะกำลังจะปิดประตูเพื่อกลับเข้าไปนอนหางตาผมก็เห็นร่างของคนหลายคนทั้งชายหญิงเด็กคนแก่ยืนอยู่ข้างนอกห้องเต็มไปหมด เพราะเขาอยู่ในสภาพร่างกายที่ไม่เกลียดบางคนก็เน่าเละมีแผลมีน้ำหนองไหลเยิ้มผมรีบปิดประตูแล้ววิ่งไปหยิบผ้าที่หัวเตียงมาสวมใส่ตอนนั้นผมตัวสั่นด้วยความกลัวคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผมทำไมถึงมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นติดๆกันทั้งๆที่บ้านนี่ก็เป็นบ้านที่สร้างขึ้นมาใหม่ ในขณะนั้นมือซ้ายของผมกำพร้าไว้แน่นส่วนมือขวาก็ผ้าห่มแล้วค่อยๆเปิดประตูออกไปก็เห็นว่าภายนอกห้องนั้นเงียบสนิทไม่มีเสียงหรือความเคลื่อนไหวใดๆผมรักบ้านแล้วแต่ขอนอนกับป้านิดซึ่งเป็นป้าของผมที่มีบ้านอยู่ใกล้ๆกันแต่ปราณีก็ไม่ได้เอ่ยถามผมสักคำว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากผมได้ที่นอนแล้วก็เข้านอนพอรุ่งเช้าผมก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ป้านิดฝากป้านิดกับผมก็พากันไปทำบุญให้กับผีเหล่านั้นและหลังจากนั้นก็ไม่เจอวิญญาณ​นั้นอีกเลย

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ตำรายาผีบอก​ รักษาสารพัดโรค !!


     ตาหมานแกมีอาชีพเป็นหมอยาหรือหมอเมืองรักษาผู้คนทั่วไปและไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์หรอกครับแต่ชาวบ้านก็เรียกแกว่าหมอ ส่งตัวแกเองก็ภูมิใจในอาชีพนี้ที่ได้ช่วยเหลือชาวบ้านถ้ามันเคยเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับเรื่องราวของถุงผ้านะว่าตอนที่แกอายุได้ 21 ปีในสมัยนั้นชายไทยทุกคนต้องบวชหรืออุปสมบทให้พ่อแม่ตามประเพณี ทหารจึงบวชที่วัดท้ายหมู่บ้านวัดนั้นเคยเป็นวัดร้างมาก่อนด้วยเหตุใดก็ไม่รู้ต่อมามีพระธุดงค์รูปหนึ่งเดินทางแสวงบุญผ่านมาเพราะเห็นว่าปราณีก็ได้บูรณะวัดนี้ขึ้นมาใหม่แล้วชาวบ้านก็ให้พระรูปนั้นเป็นเจ้าอาวาสต่อมามีชาวบ้านมาบวชอยู่วัดนี้อีก 2 โลร่วมกับเจ้าอาวาสก็เป็น 3 โลก็มีตาหมานเข้ามาก็เป็นรูปที่ 4 ด้วยตัวเลข 4 เป็นเลขอัปมงคลพร้อมๆกับคำว่าสีของคนจีบซึ่งแปลว่าตาย เจ้าอาวาสก็เลยให้แก้เกรดด้วยการบำเพ็ญบารมี 7 วันคือให้นั่งสมาธิและฉันมังสวิรัติทหารก็ทำตามเราตัวของตาหมานี่ก็เป็นคนนิสัยมักหน่อยและชอบสันโดษอยู่แล้วจึงอยู่ง่ายกินง่ายไม่ถึงกับลำบากใจอย่างไร มาตรฐานคือศีลกินผักจนผ่านมาถึงวันที่ 3  ขณะที่แกนั่งสมาธิอยู่แกก็เกิดนิมิตเห็นชายแก่คนหนึ่งจูงมือเด็กน้อยเดินเข้ามาหา ชายแก่และเด็กน้อยไม่สวมเสื้อนุ่งผ้าเตี่ยวขอเดินมาได้อีกสักพักเด็กคนนั้นก็วิ่งตรงเข้ามาหาตามมาพร้อมกับพูดว่าขอเงิน 10 บาทอาหารจึงหยิบเงินให้ 10 บาทพอดีๆก็รีบวิ่งกลับไปหาชายชราและทั้งสองคนก็เดินหายลับไปในความมือคืนวันที่ 4 คณะที่ตามมานั่งสมาธิเห็นนิมิตอีกว่าชายชรากับเด็กทั้งสองจูงมือกันเดินมาหาพร้อมกับของในมือของเด็กหน่อยที่มีดอกบัว 1 ดอกเพราะมาถึงที่ตามมานั่งอยู่ได้คนนั้นก็ส่งดอกบัวให้แล้วพูดว่าเอาดอกบัวนี้มาให้เพื่อแลกกับเงิน 10 บาท ตามมาก็รับดอกบัวมาถือไว้แล้วชายชรากับเด็กหน่อยก็เดินหายไป ถ้ามาได้เก็บเรื่องนี้ไว้โดยไม่ได้บอกใครเพราะคิดว่าคงเป็นแค่ความฝันแต่พอคืนที่ 5 ขณะที่แกนั่งสมาธิก่อนนอนเหมือนเช่นเคยแกก็เห็นชายชราและเด็กหน่อยเดินมาหาแกมาครั้งนี้ชายชราได้ยิ้มให้และพูดว่าถ้ามันเป็นคนดีแต่อยากจะให้ของอยู่อย่างหนึ่งเป็นตำรายาสามารถรักษาได้สารพัดโรค ถ้ามันดีใจมากบอกว่าอยากได้เท่าทุกวันนี้มีโรคร้ายมาคุกคามชีวิตมนุษย์และยังไม่สามารถรักษาให้หายได้ชายชราจึงบอกกับตาเหมือนว่าเมื่อรับตำรับยาไปแล้วตามอ่านต้องสัญญาว่าข้อหนึ่งจะต้องช่วยเหลือคนอย่าได้คิดเอาผลประโยชน์ถ้าผิดสัญญาตามข้อ 1 taman ต้องเสียของรักไป ข้อสองห้ามบอกสูตรยานี้ให้ใครเป็นอันขาดยกเว้นแต่ว่าตามอ่านอายุครบ 60 ปีต้องยกตำรายานี้ให้แก่ทายาทแต่ถ้าผิดคำสัญญาใดๆชายชราจะกลับมามีชีวิตตามมา ด้วยความที่ตามอ่านอยากได้ตำรับยาจึงรับคำสัญญาจากนั้นใช้ชราจึงหยิบถุงผ้าสีขาวให้ถุงหนึ่งข้างในถุงมีสมุดเล่มเล็กๆถูกมัดด้วยเส้นหนังสีน้ำตาล ถ้ามารับมาแล้วรีบเปิดออกดูข้างในสมุดงานก็เห็นว่าภายในเขียนด้วยตัวหนังสือขอมโบราณแก้อุทานด้วยความยินดีว่าเหลือเชื่อจริงๆนี่คือตำรับยาโบราณที่มีอายุเป็นพันๆปีแล้วจะดีใจมากแต่ในใจตาหมานก็คิดว่าผมจะต้องไปหาคนที่อ่านตัวหนังสือขอมโบราณได้มาช่วยแปลตำรานี้เสียก่อน ขณะที่แกดีใจอยู่นานก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าชายชรากับเด็กน้อยที่หายไปลาว ตั้งน้ำจิ้มเจ็บถูกและสมุดเล่มเล็กไว้ใต้หมอน จากนั้นแกก็ล้มตัวลงนอน พอรุ่งเช้ามาตามันตื่นขึ้นมาแกก็ล้วงเข้าไปที่ใต้หมอนหยิบถุงที่ได้สู้เก็บเอาไว้แล้วเปิดออกก็พบกับความว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย แกคิดว่าคงเป็นเพียงแค่ฝันไปนี่ไม่เจอนานเหมือนจริงมากเลย แต่นี่คืนนั้นนี่จึงเป็นคืนที่ 6 ขณะที่แกกำลังตกอยู่ในภวังค์สมาธิชายชรากับเด็กก็มาหาตามานี่พร้อมทั้งยิ้มอย่างพอใจและบอกกับตาม่านว่าให้เตรียมอุปกรณ์เตรียมเครื่องเขียนและสมุดมาเล่น 1  พรุ่งนี้แกจะกลับมาอีกครั้ง พอรุ่งเช้าวันถัดไปตามอ่านก็ไปหาสมุดและดินสอมาเตรียมไว้ คืนนี้เป็นคืนที่ 7 taman ได้สวดมนต์ภาวนาเตรียมนั่งสมาธิ เพราะหลับตาแกก็เห็นชายชรามานั่งรออยู่ก่อนแล้วแต่วันนี้เด็กน้อยไม่มาด้วยถ้ามันก็ถามว่าเด็กน้อยไปไหนชายชราตอบว่าวันนี้ต้องแปลตำราซึ่งใช้เวลานานจึงไม่ให้เด็กมาด้วยชัยชนะบอกให้ตามมาขอให้จดตำราตามที่ชายชราบอก แล้วชายชราก็แปลอักษรขอมโบราณเป็นภาษาที่อยากได้อ่ะเหมือนกับชายชรานั่งแปลอักษรเป็นตำรับยาจนถึงสว่างก็ได้มาทั้งยาทายาต้มรักษาโรคต่างๆเป็นตำรับยามา 1 เล่มจากนั้นชายชราก็เห็นถุงผ้าเก่าๆให้ตาหมานเก็บตำราและกำชับว่าให้เก็บไว้ให้ดีแล้วชายชราก็จากไปพร้อมกับทิ้งท้ายว่าเขาจะมาทวงสัญญาอีกครั้ง หลังจากนั้นตามอ่านก็ได้ทดลองทำยาทั้งยาทาและยาต้องนำไปแจกจ่ายชาวบ้านในละแวกนั้นให้ลองทาและกินเพื่อรักษาเราก็ปรากฏว่าได้ผลชะงักชาวบ้านหลายคนหายจากโรคที่เป็นมานานและทรมานตามาก็เลยกลายเป็นหมอตาที่มียาดีเมื่อใครมารักษาก็ให้เสียค่าครูคนละ 19 บาทซึ่งนับเป็นเงินน้อยนิด ถ้ามามีเจตนาที่จะเอาเงินจำนวนนั้นไปเป็นค่าวัสดุในการทำยา คนป่วยทุกคนก็พอใจเดินทางมารักษากันชนวัดนั้นชื่อเสียงดังกระฉ่อนเล่าลือกันปากต่อปากมีคนเข้ามาทำบุญกันมากมาย เพราะตามันบวชได้ 3 พรรษาก็ได้ลาสิกขาออกมาอยู่กับพ่อแม่แต่แกก็ยังรักษาคนป่วยอยู่ซึ่งมีคนมาให้รักษากันอย่างไม่ขาดสาย เพราะ taman อายุได้ 25 ก็ได้แต่งงานอยู่กินกับภรรยาชื่อผ่องใสเมื่อทั้งคู่แต่งงานกันได้ 1 ปีตามมันก็มีความคิดว่าแกน่าจะหารายได้เพิ่มมากขึ้นเพื่อครอบครัวและลูกที่จะเกิดมา แก้จึงขึ้นค่าครูเป็นคนละ 199 บาท และธาตุอาหารเห็นใครที่ดูมีเงินแต่งตัวดีมีฐานะแกก็จะเรียกเก็บค่ารักษาในราคาแพงๆจนแก่ร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่มีเงินทองมากมายเมื่อมีชื่อเสียงเงินทองก็ไหลมาเทมาจนแก่เกิดความโลภซึ่งการกระทำของตามอ่านได้ผิดคำสัญญาข้อที่ 1 ที่ให้ไว้ว่าจะรักษาคนไข้โดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว กรรมนั้นได้ตกกับดังผ่องใสเมื่อนั้นผ่องใสตั้งท้องลูกคนแรกในช่วงระยะ 3 ถึง 6 เดือนท้องของยายผ่องใสก็โตขึ้นตามปกติระยะครรภ์ได้ 7 เดือนนางผ่องใสเริ่มมีอาการมือและเท้า + ชาวบ้านทั่วไปเห็นดังนั้นก็บอกว่าเป็นอาการปกติของคนท้องอายุครรภ์ได้ 8​ เดือนมือและเท้าก็ยังไม่หายบวม อาหารพาไปโรงพยาบาลโรงพยาบาลถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉินเมื่อหมอมาตรวจก็บอกว่าล้างผ่องใสมีอาการครรภ์เป็นพิษอย่างรุนแรงเพราะนำตัวมารักษาช้าไปตอนนี้อาการของนางผ่องใสเรื่องแย่หรอกเธอตัวเขียวมีโอกาสที่จะเสียชีวิตทั้งแม่และลูกอมจะต้องผ่าตัดอย่างเร่งด่วนเพื่อช่วยชีวิตทั้งคู่เอาไว้ เพราะถ้ามาได้ยินดังนั้นก็ตกใจมากรีบเซ็นใบอนุญาตให้หมอผ่าตัดด้วยมือที่สั่นเทา แล้วหมอก็ได้พายายผ่องใสเข้าห้องผ่าตัดโดยมีตาหมานั่งรออยู่นอกห้อง เวลาผ่านไป 3 ชั่วโมงมาก็มาแล้วเชิญตามอ่านเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง หมอชิตอาหารดูเด็กทารกน้อยในตู้อบผ้าห้องกระจกร้อนกับเราแสดงความเสียใจกับตามอ่านว่าหมอไม่สามารถช่วยชีวิตแม่ของเด็กเอาไว้ได้แต่เด็กทารกเพศหญิงนั้นรอดชีวิต ถ้ามันไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดีแกยืนซึมน้ำตาคลอเบ้า สักพักใหญ่หลังจากฝากลูกไว้ที่โรงพยาบาลแล้วแกก็กลับไปทำงานศพของยายผ่องใสๆกับหาคนที่จะมาเรียนรู้ก็ได้คนเลี้ยงซึ่งเป็นญาติๆของแกเอง ไม่ด่าแกก็ไปรับลูกมาเลี้ยงที่บ้านย่างฟูมฟักเลี้ยงดูอย่างดีส่วนตามมาก็ยังเป็นหมอมือรักษาโรคต่างๆที่บ้านเหมือนเดิมและก็มีคนมารักษากับแกอย่างไม่ขาดสาย แกยังคงเรียกเก็บเงินจำนวนมากอยู่เพราะไม่รู้ว่าที่แกเสียเมียสุดที่รักไปเป็นเพราะแกผิดสัญญาที่เคยได้ให้ไวจึงทำให้ต้องเสียของรัก ถ้ามาได้ตั้งชื่อลูกสาวคนนี้ว่าวันเพ็ญ เมื่อวันเพ็ญอายุ 20 ปีก็ได้แต่งงานกับนายทองสุขตอนนี้ตาหมานอายุประมาณ 40 60 และครอบครัวคงตามอ่านก็น่าจะมีความสุขดีแต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดกับครอบครัวของตาหมาดี เมื่อหลานชายผมตามอ่านที่เกิดกับวันเพ็ญและทองสุขน้องกีตาร์ใครจะอายุได้ 5 ขวบก็มีเหตุการณ์ร้ายเกิดคืนวันนั้นขณะที่วันเพ็ญและทองสุขกำลังเดินทางไปรับน้องกีตาร์ที่โรงเรียนโดยรถมอเตอร์ไซค์ เมื่อใกล้จะถึงโรงเรียนอนุบาลเพียงอีกไม่กี่ร้อยเมตรก็มีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งสวนมาด้วยความเร็วรถคันนั้นเสียหลักพุ่งตรงข้ามเลนมาชนรถจักรยานยนต์ของทั้งคู่ทำให้ทั้งรถทั้งคนกระเด็นไปคนละทิศคนละทางส่งผลให้ทั้งสองคนนอนจมกองเรือตายอยู่ที่ตรงนั้น ซึ่งเป็นภาพที่อเนจอนาถใจเป็นอย่างไร เมื่อตามอ่านได้รู้ข่าวก็เสียใจมากคิดฮอดโชคชะตาของตัวเองว่าทำไมเป็นแบบนี้ ในขณะที่ตาหมานกำลังเศร้าโศกเสียใจอยู่นั้นจู่ๆแกก็นึกถึงคำสัญญานั้นขึ้นมาที่บอกว่าต้องช่วยเหลือคนอย่าได้คิดเอาผลประโยชน์ถ้าผิดสัญญาตามข้อที่ 1 ทหารจะต้องเสียของรักไปจึงทำให้ตามอ่านคิดว่าอาจจะเป็นเพราะแกผิดคำสัญญานั้น เพื่อรักษาชีวิตของหลานรักแกจะเลิกเก็บค่ารักษาแพงๆเหลือเพียงค่าครูคนละ 19 บาทตามเดิม

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ประสบการณ์​เจอวิญญาณ​ที่บ้านเก่า​ 2 !!


    วันนี้ผมเคลียร์งานที่ทำเสร็จไปแล้วบ้างบางส่วนอาจจะไม่เต็มร้อยแต่ก็พอมีเวลาอยู่ป่าวที่จะมาเล่าประสบการณ์หลอนของพวกผมต่อตามสัญญา ซึ่งเรื่องนี้มันต่อจากที่ผมเจอในคืนนั้นเป็นเรื่องของงานรุ่นน้องที่อยู่บ้านเดียวกันกับผมแต่อยู่คนละหลังไกลๆกันละเรื่องของแฟนน้องอีกคนที่มาดื่มกินด้วยกันหลังจากที่ผมได้เจอกับสิ่งที่เป็นเงาดำในตอนนั้นความรู้สึกผมมันวุ่นวายไปหมดทั้งกลัวสุดขีดทั้งสงสัยมันสับสนมาเพราะผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนผมนอนคลุมโปงไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวได้แต่นอนฟังเสียงว่ามันยังอยู่ไหมจนในที่สุดผมก็เผลอหลับไป พอตื่นมาอีกทีก็ประมาณ 8:00 นผมได้แต่คิดถึงเรื่องเมื่อคืนเรายังสงสัยอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวผม ผมคิดได้ว่าถ้ามีอะไรมาคุยขยะในถุงก็น่าจะมีขยะกระจัดกระจายในบริเวณที่ผมเห็นผู้หญิงคนนั้นคุยหาบ้างล่ะคิดได้ดังนั้นผมเลยรีบลุกออกจากที่นอนเพื่อไปดู แต่เมื่อผมเดินดูรอบๆบริเวณนั้นแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรที่บ่งบอกให้รู้ว่ามีคนมารื้อค้นกองขยะนั้นเลย ในขณะที่ผมกำลังยืนงงอยู่นานยายก็เดินมาทำท่าเหมือนกับว่ามีอะไรจะพูดให้ผมฟัง แล้วมันก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ อ้ายขอย้ายแกมาถึงแกก็ได้เล่าแบบตื่นๆว่าเมื่อคือช่วงกลางดึกที่มีเสียงหมาเห่าไอ้นางมันออกมาหาอะไรกินที่ครัวมันดึกแล้วก็เลยไม่อยากเปิดไฟอาศัยแสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์เขาไม่อยากให้ใครในบ้านตึก จากนั้นมันก็เดินไปที่ครัวหลังบ้านก่อนที่จะถึงครัวหน้าจอโทรศัพท์มันก็ดับพอดีนั่นมันบอกให้ยายฟังว่าเพราะถึงผัวก็เปิดตู้กับข้าวตักกับข้าวมาราดข้าวในจ้าแล้วเดินไปนั่งที่แคร่ในครัว ต้องบอกก่อนนะครับว่าแถวบ้านผมจะนิยมทำห้องครัวไว้หลังบ้านแต่ปล่อยว่างๆลงไปก็จะเห็นหลังบ้านได้รอบหมด หลังจากที่มันกินได้ประมาณ 2-3 วันก็ได้ยินเสียงคล้ายคนเดินอยู่หรอกบ้าซึ่งบริเวณนั้นพื้นเป็นดินลูกรังแต่ยังไม่ทันที่จะมองหาที่มาของต้นเสียงนั้นก็ต้องตกใจสุดขีดเพราะสิ่งที่นั้นเห็นนั้นคือเหงาดับพอมองได้สักพักก็เห็นเงานั้นมีลักษณะรูปร่างเป็นเงาของผู้หญิง ใส่ผ้าถุงที่ใช้ผ้าถุงขาดเธอไม่ใส่รองเท้า และที่มันน่ากลัวก็คือตัวของเธอนั้นสูงเท่าชายคาบ้าน ผู้หญิงคนนั้นกำลังกลมเหมือนควานหาอะไรบางอย่างในความมือ ไม่เห็นดังนั้นนั้นที่กำลังเคี้ยวข้าวอยู่ก็ถึงกับอยู่เพราะตกใจกลัวกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า แล้วเหมือนกับว่าผู้หญิงคนนั้นจะรู้ว่านะนั่งอยู่ตรงนั้นเหงาที่อยู่ในความมือหันมามองที่หน้าแล้วก็กูร้ายกับว่าจะบ่นอะไรกับใครสักคนอยู่ กูอยู่ที่นี่มานานแล้วเมื่อก่อนพวกมึงแถวนี้ก็ของกูว่ามึงพากันมาอยู่ที่ของกูมึงต้องตอบแทนกูแต่พออยู่ไปพวกมึงกลับหนีไปโดยไม่บอกกล่าว กูเดินตามหาพวกมึงมานานแล้วกูหิวแต่ก็ไม่เจอใคร ตอนนั้นนั้นเหมือนกับตกอยู่ในภวังค์ครึ่งหลับครึ่งตื่นแล้วดีตอนนั้นมันยังพูดต่อไป เสียงที่มันได้ยินมันเหมือนกับว่าเสียงนั้นก็หัวเราะครึ่งร้องไห้เสียงมันโหยหวนมาจนติดอยู่ในหูของหน้าทำให้นั้นรู้สึกเหมือนกะกำลังจะจับไข้หัวโกร๋นเวลาผ่านไปไม่นานนักเรานั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาที่บ้านของนางจากนั้นก็ค่อยๆหายไปที่นั่นรีบวางจานข้าวแล้ววิ่งเข้าที่นอนคลุมโปงน้ำก็ยังไม่ได้กินข้าวที่กินอยู่ในป่าก็แทบจะทำให้สำลักน้ำให้ยามนอนก็นอนไม่หลับ ในขณะเดียวกันมาที่บ้านก็ยังเห่าไม่ยอมหยุดยายเราพร้อมทำสีหน้ากังวล หลังจากที่เสียงหมาหยุดเห่าก็เริ่มมีลมฝนพัดมาฝนเริ่มตกแล้วก็ได้ยินเสียงเดินอยู่รอบๆบ้าน มันเดินอยู่อย่างนั้นทั้งคืนน้อมกับเสียงซึงพันบ่นคำเดิมๆสลับกับเสียงร้องไห้โหยหวนเป็นระยะระยะ วันต่อมานั้นก็เลยจะให้อย่างที่เห็นนี่แหละยายเล่า พอจะเดาออกว่ายายก็อยากรู้เหมือนกันว่าผมเจออะไรหรือเปล่าแต่ยายก็ไม่อยากถามเพราะกลัวว่าผมจะกลัวแล้วกังวลไปต่างๆนานาตามความเชื่อของคนแก่จากนั้นผมก็เดินไปอาบน้ำแล้วกินข้าวคิดว่าหลังจากกินข้าวเสร็จจะไปดูอาการของไอ้นั่นมันหน่อย แต่พ่อผมอาบน้ำและกินข้าวเสร็จขณะที่กำลังจะเดินมาหน้าบ้านเพื่อจะไปหาไอ้นั่นน้องอีกคนที่ชื่อแปลงมันก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าบ้านยายผมพอดีผมก็เลยชวนมันไปดูอาการของไอ้น่ะแต่ก็ไม่ได้เล่าอะไรให้มันฟัง พอถึงบ้านของไอ้นั่นผมก็เริ่มเล่าเรื่องที่ผมและให้นำเจอให้แบงค์ฟัง แฟนนั่งนิ่งอยู่สักพักก็พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่าเขามาซื้อก่อนพวกพี่วันนึงแล้ววันนี้เราคงเบื่อกันแล้วแยกย้ายกันกลับบ้านผมก็จะนอนเล่นตรงเตที่บ้านหลังเล็กรอให้แน่ใจว่าแม่ผมหลับก่อนว่าแกจะบ่นที่ผมกลับดึกก็แน่ล่ะครับผมยังเรียนอยู่นี่นาแกยังไม่อยากให้ดื่มกินมาก ตอนนั้นผมนอนที่เปเกือบจะหลับอยู่แล้วแต่มีความรู้สึกแปลกๆก็เลยลืมตาแล้วมองไปที่ถนนข้างบ้าน ผมเห็นเงาดำอยู่ตรงเสาไฟที่สี่แยกหน้าบานก็หน้าที่ตรงนั้นในตอนกลางวันมันจะมีใครเอาของอะไรก็ไม่รู้หายคล้ายๆกับเป็นกระทงทรงสี่เหลี่ยมทำเป็นช่องแล้วใส่กับข้าวของหวานและมีหมากพลูมาวางไว้ด้วยผมจำได้ ถ้าตอนกลางคืนในช่วงที่ผมนอนเปแล้วมองไปผมเห็นเงาคนประมาณ 4​ คนแล้วจู่ๆมันก็หายไป ผมจึงมองดูอยู่เงียบๆ ความรู้สึกผมในตอนนั้นน่ะมันทั้งกลัวคนลุกไปหมดแต่ก็อยากรู้ที่แอบมองต่อผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะไม่พอใจที่พูด 4 คนก่อนหน้าจริงของจะหมดก่อนออกแล้วเดินไปยังบ้านของพี่เอ็ม พวกเรามองหน้ากันละติดประต่อเรื่องราวจึงคิดว่าคงจะเจอดีกันหมดทุกคนโดนกันเป็นทอดๆ เราทั้งสามคนเลยนัดกันว่าจะชวนเอ็มไปทำบุญด้วยกันที่วัดเพื่อความสบายใจของพวกเราและของผู้ใหญ่ด้วยเพราะพ่อแม่ตายายพบแค่ชื่อเรื่องแบบนี้มา วันถัดมาพวกเราก็มาทำบุญด้วยกันทั้ง 4 คนพร้อมกับพ่อแม่ของพวกเราขอถวายของให้พระอาจารย์แล้วอาจารย์ให้พรเสร็จแกก็พูดขึ้นมาว่าคนที่พวกเด็กๆเห็นกันถ้าอาจารย์ได้ตั้งแต่มาตั้งวัดนี้ใหม่ๆแล้วเขาบอกว่าแถบนี้เป็นที่ของเขาเขาไม่ให้อยู่ทีแรกก็คิดว่าเป็นผีเจ้าที่อาจารย์เลยนั่งวิปัสสนากรรมฐานเพื่อให้รู้ว่าโยมคนนี้เขาเป็นควายแล้วอาจารย์ก็ได้รู้ว่าโยมคนนี้เมื่อสมัยที่เขายังเป็นคนอยู่เธอเป็นคนที่ขยันมานะลูกกับผัวก็มาตายจากไปเสียก่อนเธอจึงเหลือตัวคนเดียว แม้ว่าจะเป็นคนขยันและมีเงินเก็บมาสามารถสร้างบ้านหลังใหญ่โตได้แต่เธอก็ไม่เคยให้ทานใครไม่เคยคิดจะเอื้อเฟื้อเกื้อกูลใครมันเป็นอย่างนี้มานั่นน่ะ จนต่อมาเกิดสงครามภายในประเทศกัมพูชาซึ่งเป็นสงครามล้างเผ่าพันธุ์เขมร ด้วยความที่บ้านผมมีเขตติดต่อกับกัมพูชาเลยมีการอพยพและมีการสู้รบกันทั้งฝั่งไทยกับเขมรและสู้รบเขมรกับเขมรด้วยกัน คนไทยที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้จึงพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วยแล้วพระอาจารย์ก็เล่าต่อว่าต่อมาโยงคนนี้เกิดล้มป่วยและการน่ะแต่ก็ไม่มีใครดูแลความที่อยู่เป็นคนไม่เคยให้ความช่วยเหลือใครเพราะล้มป่วยก็เลยไม่มีใครมาสนใจจนในที่สุดเธอก็ตายหรอกแต่ความหวงแหนในทรัพย์สมบัติของตนทำให้วิญญาณของเธอนั้นไม่ยอมไปผุดไปเกิดยังคงวนเวียนอยู่ในที่ที่เคยเป็นของเธอทั้งยังไม่มีใครทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ก็เลยกลายเป็นผีเร่ร่อนที่มีสภาพอย่างที่พวกเราเรียนนั่นแหละ

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ประสบการณ์​เจอวิญญาณ​ที่บ้านหลังเก่า​ 1 !!


                ปกติแล้วผมเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผีสักเท่าไหร่ผมไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ถ้าไม่เห็นด้วยตาผมเอง เรื่องนี้ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 5 ปีก่อนตอนนั้นผมอายุ 19 ปีหลังจากที่เรียนจบชั้นมัธยมตอนผมก็ไปอาศัยอยู่กับน้าที่กรุงเทพฯนานๆจะกลับมาเยี่ยมตากับยายที่ต่างจังหวัดทีหนึ่ง ที่ผมกลับมาในครั้งนี้เพราะแม่บอกให้มาเอาหมายเรียกอะไรสักอย่างแต่อันที่จริงแล้วผมไม่อยากมาด้วยซ้ำเพราะไม่ใช่ช่วงเทศกาลกลับมาก็ไม่มีอะไรเกินแต่พอคิดถึงตากับยายที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กก็เลยบอกแม่ว่าผมจะกลับ วันถัดมาผมก็กลับไปถึงบ้านแล้วช่วงเช้ามาหลังจากที่ไม่ได้กลับมาเยี่ยมยายเป็นเวลาเกือบ 2 ปีบ้านตากับยายจะเป็นบ้านไม้ยกสูงแบบคนอีสานที่นิยมกันในสมัยก่อนเมื่อมาถึงผมก็สังเกตเห็นว่าจากบ้านที่ผมเคยอยู่กับตายายห้องที่ผมเคยนอนตาก็ให้ญาติๆมารื้อทำใหม่แต่ไม่ได้รื้อทั้งหลังยังเหลือส่วนที่เป็นห้องนอนเก่าแม่ผมกับห้องเปิดโล่งที่ตาเป็นคนนอน ยายอยู่กับลูกของน้าชาย ที่เขามาฝากยายเลี้ยง อายุ 5 ขวบเศษๆก็นอนในห้องเก่าของแม่ โชคดีที่กะตอบเก่าที่ผมเคยใช้เป็นที่สังสรรค์กับเพื่อนๆที่หลังบ้านยังคงเหลืออยู่ผมเลยบอกยาย หอยเปลี่ยนมุ้งกับหมอนและผ้าห่มให้ด้วยจะนอนตรงต่อทีแรกผมก็จะมาปูเตียงนอนเองนี่แหละแต่ยายก็เอาเสื่อมาปูที่นอนให้เสร็จพร้อมที่จะให้ผมฟูนอนได้เลยหลังจากที่ยายเตรียมที่นอนให้ผมในช่วงที่ผมมาถึงท้องฟ้าก็เริ่มสว่างตอนนั้นเป็นเวลาหกโมงเช้าแล้วย้ายจึงเตรียมของไปเพื่อใส่ปากผมก็เลยถือโอกาสใส่บาตรสักหน่อยอยู่กรุงเทพไม่ค่อยมีเวลาทำบุญเลย ตอนนั้นยายกำลังเอาจานใส่ข้าวเหนียวกับนม 2 ชุดสำหรับใส่บาตรพระ 2 รูปผมได้ยืนรอท่านที่หน้าบ้านเพราะพระอาจารย์มาถึงแกก็ถามผมว่ากลับมาบ้านมาทำบ้านให้ตากับยายหรอผมเลยตอบกลับไปว่ามาเอาเอกสารสำคัญครับพระอาจารย์อีกเป็นอาทิตย์นู่นแหละถึงจะกลับพอผมพูดจบแกก็ถามกลับอีกแล้วเย็นนี้นอนบ้านแม่เหรอ ผมเลยตอบกลับไปว่านอนกระต๊อบหลังบ้านครับอาจารย์แต่ท่านก็พูดเป็นนัยๆว่านอนคนเดียวไม่กลัวผีหรอกผมเลยอิ่มแล้วตอบกลับไปว่าผมไม่กลัวครับไม่มีหรอกผีน่ะเกิดมายังไม่เห็นสักทีครับอาจารย์แกก็เลยพูดเรื่องอื่นถามว่าแล้ววันนี้ว่างไหมจะขอแรงไปตัดหญ้าที่วัดหน่อยอีก 2 วันญาติโยมเขาจะเอาผ้าป่ามาถวายผมเลยตอบไปว่าวันนี้ผมไม่ได้ไปไหนผมจะไปตัดช่วยครับพระอาจารย์ แกยิ้มแล้วก็เดินผ่านผมไปผมไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนชุดเตรียมไปตัดหญ้าให้อาจารย์ทิวาแต่รอให้ท่านฉันข้าวให้เสร็จก่อนประมาณ 9 โมงเช้าผมขี่รถมอเตอร์ไซค์จากบ้านมาถึงวัดเนื่องจากวัดกับบ้านอยู่ไม่ห่างไกลกันมากนะประมาณ 1 กิโลเมตรได้พอมาถึงวัดก็เห็นพวกน้องๆประมาณ 3 คนน้องๆต่างทักทายและยกมือไหว้ผมตามประสาวัยรุ่นคนบ้านเดียวกัน แล้วผมก็เห็นพวกลุงและอารมณ์รวมแล้วน่าจะ 10 กว่าคนได้ หลังจะแบ่งหน้าที่กันเสร็จพวกผมกับน้องๆอีก 3 คนก็ได้ทำหน้าที่กวาดเศษหญ้าที่พวกตาแก่ตัดโดยใช้เครื่องตัดหญ้าตรงลานกว้างที่จอดรถกว่าจะทำเสร็จตอนนั้นก็เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าๆแล้วผมเลยเข้าไปที่ศาลากราบพระแล้วก็ลาพระอาจารย์กลับแต่ก็ยังกลับไม่ได้เพราะต้องรอพวกลุงกับอาก่อนผมออกมานั่งรอที่ประตูนอกศาลากับน้องนัดกันว่าจะไปก๊งเหล้าที่บ้าน หลังจากที่พวกลุงกะป้าคุยกับพระอาจารย์เรื่องที่มาทำความสะอาดวัดในวันนี้เสร็จแล้วพวกลุงกับอาจะกลับลากลับบ้านอาจารย์ท่านก็พูดขึ้นมาเป็นนัยๆอีกว่าเมื่อคืนนี้ตอนประมาณ 3-4 ทุ่มมีคนมาขอข้าวกินที่หน้ากุฏิลูกเล่นถามว่าคนที่ไหนพระอาจารย์ตอบว่าไม่รู้น่าจะเป็นผู้หญิงอาตมาเลยบอกกลับไปว่าที่ดีวัดป่าฉันข้าวมื้อเดียวไม่มีอะไรเหลือหรอกอยู่ จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็กลับกันผมกับน้องๆก็มาโกงเราที่กว่าตอบหลังบ้านบรรยากาศก็ประมาณหน้าฝนเหมือนกับช่วงนี้แหละแต่มันก็แปลกๆอาจเป็นเพราะผมไปอยู่ที่อื่นมานานหลายปีนานๆจะได้กลับมาเลยรู้สึกแปลกๆพวกเรานั่งกินกันจนเบียร์หมดไปประมาณ 2 ลังกว่าเวลาตอนนั้นน่าจะประมาณ 1 ทุ่มและบรรยากาศตามบ้านนอก 1 ทุ่มก็เริ่มจะปิดไฟนอนกันแล้วเพราะมองไปรอบๆก็มีแต่ความมือและผมไม่เคยกลัวอยู่แล้วเพราะผมเป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ เพราะผมเริ่มเมาหน่อยๆเราเริ่มง่วงเพลียจากที่นั่งรถจากกรุงเทพฯมาถึงบ้านแล้วก็ได้ไปทำงานที่วัดทั้งวันผมเลยคุยกันกับน้องๆว่าเราไปหาซื้อเนื้อมาลวกจิ้มกินกันดีกว่ากินเผ็ดๆเปรี้ยวๆตาจะได้สว่างอีกอย่างเดี๋ยวดึกไปกว่านี้จะหาอะไรกิน ยายก็บอกไว้เพียงแต่ว่ายายเลี้ยงหลานอยู่มันง่วงมันงอแงฉันไม่มีเวลาหาอาหารให้กินถ้าอยากจะได้อะไรก็หาเอาในครัวได้เลย แล้วยายก็พาหลานไปเข้านอน ก่อนที่ผมจะไปซื้อเรือแฟรงค์ก็พูดล้อเล่นกับมันว่ะ ที่นั้นอยู่กันสองคนระวังผีหลอกนะฮ่าๆๆกลับมาตอบแทนไม่กลัวหรอกพี่มาสิเดี๋ยวจะรองเท้าเหม็นหน้าแม่งเลยแล้วก็หัวเราะกันเพราะพูดจบนั้นก็พูดกับเบียบว่ามึงกลัวไม่อิ่ม เอ็งพูดขึ้นทั้งทั้งที่แววตามันไม่มั่นใจแต่ก็กลัวเพื่อนจะว่ามันปลอดแห่ M เลยพูดตามน้ำไปว่าก็ไม่เห็นสิจะเลิกใส่เนื้อกินแม่งเลยต่างคนต่างท้าทายพูดไปมาไม่กลัวอย่างนั้นไม่กลัวอย่างนี้สรุปก็ท้าทายกันหมดทั้ง 4 คนนี่แหละ หลังจากที่ผมกับแฟนไปซื้อเนื้อและกลับมาทำกินกันกับพวกน้องๆแล้วเพราะกินกันจนอิ่มแล้วเมาได้ที่แล้วพวกเราก็แยกย้ายกันไปผมบอกกับตาที่อยู่บนบานให้ดับไฟได้เลยเพราะดับไฟพร้อมก็ดึงมุ้งที่ยายเตรียมไว้มากลางเสร็จแล้วก็เข้ามุ้งนอนฟังเสียงนกกลางคืนเสียงจิ้งหรีดร้องจนผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งประมาณตี 4 รู้สึกคอแห้งหิวน้ำมากเลยเดินมาเปิดตู้เย็นกินน้ำแล้วสายตาก็มองไปรอบๆก็เห็นหลายคนกำลังเดินผ่านหน้าบ้านไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าคนที่ปกติจะเดินการ ผมมองไปจนสุดสายตาในความมืดนั้นผมก็เห็นคนซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเป็นผู้หญิงสูงพอประมาณผมอยากฟูแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรผมกินน้ำต่อจนเสร็จแล้วก็มานอน ตื่นมาอีกทีก็เกือบ 6 โมงเช้าแล้วผมเลยไม่อาบน้ำแต่งตัวแล้วยายก็เรียกให้ผมไปใส่บาตรแทนเพราะกลัวจะแต่งตัวให้หลานคนเล็กไปโรงเรียนไม่ทันผมเลยได้ใส่บาตรแทนยาย เพราะพระอาจารย์มาถึงหน้าบ้านพระอาจารย์ก็เปิดฝาบาตร แล้วถามผมคำหนึ่งว่าเมื่อคืนนอนดึกเหรอผมก็เลยตอบไปว่าใช่ครับนั่งกันกับไอ้แฟรงค์ไอ้เอกไอ้หนักคุยกันตามประสาผมโคตรชอบอาจารย์เลยถามกลับมาเหมือนอยากจะบอกอะไรสักอย่างซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกขนลุกเอาว่ายังไม่เคยรู้สึกมาก่อนอาจารย์ได้บอกว่านอนดึกล่ะอย่านอนเลยไม่ดีต้องนอนแต่หัวค่ำจะได้ไม่เห็นอะไรนอนดึกน่ะระวังเห็นคนบ้าเดินไหม พระอาจารย์พูดจบแล้วก็เดินจากไปคำพูดนั้นมันทำให้ผมคิดถึงตอนที่ตื่นมากินน้ำแล้วเห็นเป็นเงาเดินผ่านหน้าบ้านแต่แล้วผมก็ไม่ได้สนใจอะไรและก็ลืมมันไป จนผมได้เจอกับเอกที่มาหาเป็นคนแรกเอ็งพูดกับผมว่าเมื่อคืนตอนนี้ผมกลับไปที่บ้านผมก็นอนกันหมดแล้วผมว่าจะหาอะไรกินสักหน่อยแต่ผมไม่กล้าเปิดไฟกลัวแม่บ่นว่าผมกลับดึกก็เลยใช้แสงไฟจากโทรศัพท์ส่องสว่าง เพราะผมกินด้วยคำสองคำก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่ข้างบ้านผมเลยปิดแสงไฟจากโทรศัพท์แล้วค่อยๆย่องมองลอดช่องลงไปที่กะละมังแช่ถามก็เห็นเป็นคนกำลังค้นหาอะไรอยู่ในกะละมังแช่ผ้าแต่ในนั้นมีถ้วยที่ใส่กับข้าวเก่าที่แม่ผมไม่ได้เททิ้งเพราะมันเจอมันก็เอามือล้วงกินเหมือนคนหิวมากอ่ะพี่พอกินเสร็จมันก็ค่อยๆเดินมาทางข้างครัวที่ผมอยู่แล้วเหมือนผมจะได้ยินมันพูดว่า แถวนี้มีแต่บ้านไม่มีของกินเลยเสียงนั้นมันยังดังติดอยู่ในหัวผมอยู่เลยพี่ผมได้ฟังก็จินตนาการภาพเหตุการณ์ไปด้วยแต่ก็ยังไม่เชื่ออะไรง่ายๆหรอกผมคิดในใจ หลังจากคุยกันเสร็จผมก็มานอนคุยเล่นกับช่างที่มาทำบ้านให้กับตา ตกเย็นฉันก็กลับไปหมดแล้วส่วนผมก็อาบน้ำก็ว่าจะกินข้าวแล้วนอนให้หายเพลียแต่พอเข้านอนแล้วมันกลับนอนไม่หลับเพราะเป็นคนนอนดึกจะให้มานอนแต่หัวค่ำมันก็ยังไงอยู่ จนถึงเวลาประมาณ 4 ทุ่มในละแวกบ้านที่ผมอยู่ก็นอนกันหมดทุกบ้านเงียบสงัดไม่มีแม้แต่เสียงโทรทัศน์และปลอดให้ได้ยินมีแต่เสียงนกเสียงจิ้งหรีดร้องระงม แล้วก็เกิดบางสิ่งที่ทำให้ใจผมเต้นแรงเพราะตกใจสุดขีด หมาที่ใหญ่เลี้ยงไวๆก็เห่าเสียงดังมาเหมือนกับว่ามีคนเข้ามาในเขตรั้วบ้านผมค่อยๆลุกขึ้นตอนนั้นคิดว่าต้องมีคนเข้ามาแน่ๆ ๆพอลุกนั่งได้ผมก็มองผ่านมาออกไปมองหาบริเวณหน้าบ้านที่กำลังสร้างก็เพิ่งจะทำโครงสร้างอยู่ยังไม่ได้กอดหรอกปากจึงสามารถมองเห็นผ่านตัวไปจนถึงหน้าบ้านได้ ผมมองข้ามความมืดสลัวมีเพียงแสงจากดวงจันทร์เท่านั้นที่สว่างพอให้มองเห็นได้ แล้วผมก็เห็นคนนั่งอยู่บริเวณหน้าก๊อกน้ำหน้าบ้านกำลังคุยถุงขยะเศษอาหารของช่างที่มาทำบ้านเหมือนจะหาอะไรกิน เมื่อผมมองดูได้สักพักก็รู้เลยว่าเป็นคนคนเดียวกันกับที่เดินผ่านหน้าบ้านเมื่อคืน ผมไม่กลัวเพราะคิดว่าเป็นพวกสติไม่ดีมากกว่าเลยค่ะจะเดินไปไล่แต่เหมือนกับว่ามันจะรู้ตัวแทนที่มันจะวิ่งหนีมันกลับไม่ไป ตอนนั้นผมยังอยู่ในมุ้งก็เห็นมันค่อยๆยืนขึ้นแล้วก็เห็นว่ามันสูงกว่าที่ผมเห็นเมื่อคืนเพราะมันยืนขึ้นจนสุดก็สูงเกือบถึงตัวหน้าบ้านผมตกใจแทบช็อค ในขณะเดียวกันนั้นเองก็ได้ยินเสียงแว่วในหูของผมว่า มีคนอยู่ใช่ไหมขออะไรกินหน่อยหิว หมาที่เลี้ยงไว้ก็เห่าดังๆ จากนั้นมันก็เดินอ้อมข้างบ้านจะมาทางกระต๊อบที่ผมนอนตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูกที่กำบังผมอย่างเดียวที่มี ก็มีเพียงแต่เสากระต๊อบต้นเดียวที่อยู่ข้างหน้าผมเท่านั้นแล้วมันก็เดินมาทางเสาร์น่ะเพียงชั่วอึดใจเดียว มันก็หายวับไปในความมือองเทพสติแต่มันหวาดระแวงไปหมดสิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมไม่กล้าแม้จะเดินออกจากมุ้ง

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ประสบการณ์​หลอนบนเกาะ​ ริมแม่น้ำโขง !!


           ต้องขอขอบคุณคุณบุญที่ศาลด้วยนะครับที่แบ่งปันเรื่องราวนี้เข้ามา ตอนนี้เรามารับฟังเรื่องราวกันเลยดีกว่าสบายดีผมเป็นคนลาววันนี้จะมาแบ่งปันประสบการณ์เรื่องเล่าสยองขวัญที่ผมได้พบเจอมาเมื่อหลายสิบปีก่อนให้ฝากผมมีชื่อว่าปุ่นอายุ 32 ปีอาศัยอยู่ที่ภาคใต้ของประเทศลาวเมืองปากเซแขวงจำปาสักเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเมื่อ 22 ปีที่แล้วตอนนั้นผมอายุ 10 ขวบกำลังเรียนอยู่ชั้นปอ 5 เป็นช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ มีเพื่อนซี้คนหนึ่งที่เราเรียนอยู่ห้องเดียวกันวันนั้นเป็นวันศุกร์เราก็นัดกันหลังเลิกเรียนว่าพรุ่งนี้จะไปเที่ยวหากัน หากเป็นภาษาของบ้านก่อนหักแปลเป็นไทยก็คงจะเรียกว่าเกาะซึ่งลักษณะหากบ้านของผมจะเป็นชายหาดที่ขึ้นอยู่กลางแม่น้ำโขงที่นี่จะไม่มีต้นไม้ขึ้นถ้าหากมีจะเห็นได้เมื่อตอนน้ำลดเพียงเท่านั้น ในช่วงเวลาน้ำลดนี้ชาวบ้านก็จะมาปลูกแตงกวาแตงโมและพืชพันธุ์อื่นๆอีกมากมายพวกของผมตั้งใจจะไปเที่ยวและไปกินแตงโมนี่แหละครับ ตอนบ่ายของวันเสาร์พี่ก็มาหาผมที่บ้านจากนั้นก็มุ่งหน้าไปหาเพื่อนอีก 2 คนซึ่งรออยู่ที่ท่าน้ำท่วมแล้วก็มีกันทั้งหมด 4 คนพอไปถึงพบมันก็บ่นว่าผมนิดหน่อยว่าทำไมถึงมาสายเดี๋ยวก็ไม่มีเรือไปกันหรอกแต่ผมกับพี่ก็ไม่ได้ตอบอะไรพวกเราพากันเดินไปตกลงค่านั่งเรือที่จะไปยังหาดที่คนขับเรือก็คิดราคาคนละ 2,000 กีบทั้งไปและกลับนะคิดเป็นเงินไทยตอนนั้นก็น่าจะราวๆ 10 บาทได้ เราจ่ายเงินให้พี่เขาแล้วก็นั่งเรือไปโดยใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็มาถึงยังจุดหมายตอนนั้นเป็นเวลาบ่าย 2 โมงแล้วก็ขึ้นหากพวกเราก็นัดให้พี่เขามารับตอน 5 โมงเย็นอีกครั้ง จากนั้นพี่เขาก็ออกมาอย่ากลับไป พวกเราพากันเดินไปที่กระท่อมของแม่ค้าก็ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียวจึงพากันเดินไปอีกกระท่อมหนึ่งแต่ทุกกระท่อม 10 กว่าหลังที่พวกเราเดินไปไม่มีใครอยู่เลยสักคนเมื่อหันไปมองโดยรอบก็เห็นว่าแตงกวาแตงโมหรือพืชพรรณที่ปลูกอยู่บริเวณนั้นยังไม่งอกเลยเหมือนกับว่ามันเพิ่งจะปลูกใหม่ๆ พวกเราหันมามองหน้ากันแล้วก็หัวเราะที่มาหาแตงโมในหน้านี้ เพื่อนคนหนึ่งจึงพูดขึ้นมาว่ากูบอกแล้วมันไม่มีหรอกช่วงนี้เขากำลังจะปลูกผลของมันก็มากินช่วงกลางเดือนมีนาคมนู่น พี่ก็เลยพูดขึ้นมาว่ามึงบอกตอนไหนวะ กูบอกไอ้สัตว์ ขณะที่ผมหันไปถามไอ้สันว่าทั้งๆที่รู้ทำไมถึงยังชวนมาอีกแต่ก็ยังพูดไม่ทันจบไอ้สันก็ตอบกลับมาว่าก็กูอยากมานี่หว่าถ้าเกิดกูบอกพวกมึงสองคนไปเดี๋ยวมึงจะเปลี่ยนใจไม่ยอมมากัน องค์ที่เพิ่งเคยมาก่อนนี้เป็นความดันก็เลยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลยแต่พวกมันสองคนนั้นเคยมาก่อนแล้ว ตอนนี้พวกผมเริ่มรู้สึกสิไม่รู้จะทำอะไรก็เดินดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยๆก็ไหนๆพวกเราก็มากันแล้วตอนนี้ยาวประมาณ 3-4 กิโลเมตรกว้างแต่ถึง 900 เมตรนี่สองฟากฝั่งหนึ่งเป็นท่าเรือที่พวกเราขึ้นมาบนเกาะสามารถมองเห็นหมู่บ้านของผมได้จากตรงนี้แต่ไกลมาก ส่วนหนึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวบ้านเช่นกันแต่จะห่างจากเกาะนี้เพียงแค่ 20 เมตรเท่านั้นพวกเราเดินกันไปคุยกันไปจนเริ่มรู้สึกเหนื่อยจึงพากันนั่งพักที่กระท่อมฟากฝั่งบ้านของพวกเราขอนั่งไปได้สักพักเพื่อนคนหนึ่งที่มันเคยมาที่นี่ก็พูดขึ้นมาว่าไหนๆก็มากันแล้วลงเล่นน้ำกันดีกว่า เพราะเส้นเสียงเท่านั้นแหละมันก็ลุกขึ้นกระโดดลงไปในแม่น้ำเลยเพราะเห็นดังนั้นให้ฉันก็กระโดดลงน้ำตามไปก่อนพวกมันสองคนเล่นน้ำได้สักพักหนึ่งก็เรียกผมกับอีตามันปฏิเสธเพราะมันว่ายน้ำไม่เป็นแล้วมันยังบอกผมอีกว่าอยู่ๆมันก็รู้สึกกลัวและหดหู่ยังไงไม่รู้ตอนนั้นผมเห็นสีหน้าของมันเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดทั้งแววตาท่าทางของมาให้ดูกระวนกระวายมา ผมก็เลยบอกมันไปว่าไม่มีอะไรหรอกน่ารำคาญแบบนี้แสงแดดก็มีจะกลัวอะไรวะ ถึงแม้ผมจะพูดออกไปอย่างนั้นแต่ตอนนั้นผมกลับมีความรู้สึกว่าทั้งทั้งที่อากาศร้อนมากแต่ทำไมผมถึงรู้สึกหนาวผมเลยบอกกับดีว่างั้นเราแค่เดินเล่นริมน้ำกันดีกว่ามันก็ตอบตกลงเพราะพวกเราสองคนเดินเล่นกันริมน้ำในสภาพเพื่อนสองคนก็ขึ้นมาจากน้ำ ไอ้สัสก็เข้ามาถามว่าทำไมไม่ลงไปเล่นน้ำด้วยกัน ผมตอบกลับไปว่าไม่อยากเปียให้ฉันก็เลยบอกว่าตามใจพวกมึงแล้วกันแล้วไอ้แมวก็พูดต่อขึ้นมาอีกว่า ถ้ามึงไม่อยากเปียกก็คงจะอดกินแตงโมแล้วว่ะ ผมรีบถามมันกลับไปว่าไอ้โง่ที่ไหนมันก็บอกว่าถ้าพวกมึงอยากกินก็ตามกูมาแล้วมันก็เดินไปพวกผมสามคนรีบเดินตามมันไปติดๆเพราะเดินมาได้สักพักก็มาถึงยังอีกฟากของเกาะแล้วมันก็บอกว่าเราจะเดินข้ามแม่น้ำฝั่งนี้ไปที่กระท่อมที่เขาขายแตงโมอยู่แต่จะต้องเดินข้ามแม่น้ำไปที่มีความกว้างประมาณ 20 เมตร ไม่รอช้ามันฟ้ามือไอ้สัตว์แล้วเดินลงน้ำไปเทก็พูดขึ้นมาว่าน้ำลึกหรือเปล่ามันว่ายน้ำไม่เป็นไอ้ซันตอบกลับมาว่าน้ำสูงเพียงแค่ต้นคอเท่านั้นเพราะเอได้ยินดังนั้นก็ก้าวขาตามลงน้ำไปผมรีบคว้าแขนมโนมัยแล้วถามว่าจะไปจริงหรอมึงว่ายน้ำไม่เป็นนะเว้ยมันตอบผมกลับมาว่ากูอยากข้ามไปกูอยากกินแตงโมนี่นาผมก็เลยบอกกับมันว่าจะพามันไปเองคงจะแขนมากแล้วเราก็เริ่มเดินลงน้ำกันตอนนั้นให้แมวกับไอ้สันต์ล่วงหน้าเราไปแล้วประมาณ 5-6 เมตรได้ผมจำได้ดีว่าเห็นพวกมันเดินลงน้ำลึกลงไปเพียงแค่ระดับเอว ส่วนผมก็เป็นระดับน้ำลึกเพียงแค่หน้าแข้งเท่านั้น ในช่วงเวลานั้นความรู้สึกของเราทั้งสองคนเหมือนกับตกลงจากที่สูงแบบว่ามันวูบลึกลงไปแล้วพวกเราก็สลบไปเวลาผ่านไปกี่นาทีไม่รู้ผมก็รู้สึกตัวขึ้นเพราะได้ยินเสียงเรือแล่นผ่านไปเมื่อมองดูเลยรอก็เห็นว่าผมไม่อยู่ที่การน้ำแล้วซึ่งมันเป็นส่วนท้ายของเกาะ ของรีบว่ายน้ำเข้าหาฝั่งในขณะเดียวกันก็มองหาเพื่อนไปด้วยก็เห็นไอ้แมวกับไอ้สัสกำลังพยายามว่ายน้ำเข้าปากและผมไม่เห็นได้ตอนนั้นผมกลัวมาตะโกนร้องหามามองไปรอบๆแต่ก็ไม่เจอจึงตะโกนบอกเพื่อนอีก 2 คนให้ไหว้หาด้วยกัน ผมดำน้ำลึกลงไปเพื่อหามาดำลงไปอยู่สองสามครั้งได้แต่ก็ไม่พอผมเริ่มสติแตกแล้วเลยท่องในใจขอพระคุณพ่อพระคุณแม่พระพุทธเจ้าได้โปรดช่วยพวกเราด้วยแล้วผมก็ตัดสินใจดำน้ำลงไปอีกครั้งก็เห็นได้ดิ้นอยู่พยายามที่จะขึ้นมาบนผิวน้ำจึงรีบจับแขนมันดึงขึ้นมาเพราะเราสองคนโตขึ้นมาบนผิวน้ำได้ให้แมวกับไอ้สัสก็ว่ายมาถึงตรงจุดที่ผมอยู่พอดีจึงพากันกลับขึ้นไปบนฟ้า หลังจากหายตกใจแล้วพวกเราก็มองหน้ากันและถามกันว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมพวกเราถึงไม่อยู่ตรงนี้ได้ทั้งๆที่ตอนนั้นกำลังเดินจะข้ามฟากและอยู่ส่วนกลางของเกาะแต่ทำไมถึงมารู้สึกตัวที่กลางน้ำแถมยังอยู่ส่วนท้ายของเก่า พวกเรางงกันมาที่น่าแปลกคือทุกคนจะมีความรู้สึกเหมือนกับว่าโดนทากตกจากที่สูงแล้วหมดสติไป

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

รักยม !!


         ผมชื่อเต้ยอายุ 28 ปีครับเป็นคนจังหวัดนครสวรรค์เหตุการณ์ที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ก็เกิดขึ้นที่นี่แหละครับเพียงแต่ว่าเป็นคนละดาวผมเช่าห้องอยู่กับเพื่อน 2 คนซึ่งผมชื่อหนุ่ยครับตอนนั้นผมได้ไปเช่าของขลังมาอย่างหนึ่งที่เขาเรียกกันว่ารักอยู่มันมีลักษณะเป็นขวดเล็กๆมีไม้รักกับไม้หย่อมและน้ำมันจันทร์อยู่ข้างในซึ่งผมทำเป็นจี้ห้อยคอเพื่อที่จะนำมาช่วยให้ขายของดีวันหนึ่งผมได้เอารักยมแขวนไว้ที่หน้ากากแล้วก็ทำความสะอาดห้องพักไปปัดมาต้นไม้ขนไก่เจ้าเก่ามันฟากโดนขวดรักอย่างที่ผมแขวนเอาไว้ไปกระแทกกับขอบหน้าต่าง อ้วนที่มันเปราะบางอยู่แล้วก็เลยแต่น้ำมันจากที่อยู่ข้างในก็กระเด็นมาเข้าตาผมผมรีบเก็บเศษของมันที่พอจะเก็บได้แล้วหาขวดมาใส่ใหม่ผมไม่คิดเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นจะทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปและได้ยินอะไรมากกว่าคนอื่นตอนนั้นผมกังวลเพียงแต่ว่ารักยมจะไม่อยู่ด้วยก็เลยรีบโทรหาจากที่ผมเช่ารักยมมาแต่พออาจารย์รับสายพันธุ์ก็พูดมาว่าเด็กๆกลับมาหมดแล้วโดยที่ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรเลยแต่นั่นไม่ใช่ประเด็นครับเหตุการณ์มันเกิดหลังจากนั้นอีก 2 วันเพื่อนผมที่ชื่อเบลล์มันโทรมาขอให้พวกผมไปช่วยมันขนของย้ายห้องเรามันกำลังจะย้ายไปบ้านเช่าใหม่ที่ราคาถูกกว่าเดิมมาแค่เดือนละ  1,500 บาทเท่านั้นเองบ้านที่มันไปเช่าอยู่นานอยู่ในหมู่บ้าน 1  ผมกับปุ๋ยก็ตกลงว่าจะไปช่วยหมา พวกผม 4 คนมีผมให้ปุ๋ยให้เบลแล้วก็นนท์เมียของไอ้เบลมันก็ช่วยกันขนของจนทำมือเพราะขนของเสร็จพวกเราก็นั่งพักกันตรงโถงของปากตรงนั้นจะมีประตูกระจกใสซึ่งอยู่บริเวณหน้าบ้านมันสามารถมองเห็นฝั่งตรงข้ามได้แบบชัดมาก ขอนั่งกันไปได้สักพักเดี๋ยวกับนนท์ก็ขอตัวออกไปข้างนอกเพื่อจะไปหาซื้ออะไรมาเลี้ยงพวกผมที่มาช่วยขนของในวันนี้ส่วนผมกับปุ๋ยก็ยังคงนั่งหมดแรงกันอยู่ที่เดิม บ้านแถวนี้อยู่ติดกันหลายอย่างคล้ายกับทาวน์เฮ้าส์แต่ว่ามีชั้นเดียวบรรยากาศก็วังเวงมากด้วยเช่นกันเพียบมาเงียบจนพวกผมคนเลยผมก็มองดูนาฬิกาในโทรศัพท์ก็เห็นว่าตอนนี้มันก็สามทุ่มแล้วคงมองไปเรื่อยเปื่อยมองข้าวของที่คนมากันสายตาก็มองออกไปทางหน้าบ้านฝั่งตรงข้ามก็เห็นเงาดำๆยืนอยู่จุดจุดนั้นมันก็ย่อตัวหลอกแล้วก็กระโดดลงไปกราบครั้งไปคว้านมาอยู่ที่หน้าบ้านน่ะ แต่สิ่งที่ทำให้ผมยิ่งขนลุกก็คือเรานั้นครางไวมากไว้เกินกว่าที่คนปกติจะคลานได้ในขณะที่ผมกำลังตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นและตัวสัตว์ไอ้ปุ๋ยมันก็ตกใจร้องทักผมว่าเป็นไร มันเห็นผมตาคางมองไปที่หน้าบ้านฝั่งตรงข้ามมันก็หันไปมองตามแต่มันคงจะไม่เห็นอะไรจึงหันกลับมาแล้วก็เขย่าตัวผมพร้อมกับถามว่าเป็นอะไรแต่เมื่อไม่ได้รับการตอบกลับใดๆมันจึงลุกเดินไปรูดม่านที่ประตูหน้าบ้านเพื่อปิดและหยุดอาการตกตะลึงของผมตอนนั้นผมพูดอะไรไม่ออกเลยครับผมกลัวมากบอกตรงๆเลยว่าไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ไอ้ปุ๋ยมันก็พยายามดึงสติผมให้หายสระผมก็พยายามทำใจให้นิ่งจนกระทั่งเบลและนุ่นกลับมาตอนนั้นสติผมเริ่มกลับคืนมาแล้วจึงพยายามทำตัวให้ปกติที่สุดไม่กล้าพูดว่าเห็นอะไร ผมหันกลับไปมองที่ประตูบานนั้นที่มีผ้าม่านปิดอยู่ซึ่งทำมามันปิดไม่หมดมันลอยเหนือพื้นเขาไม่มีช่องว่างอยู่ประมาณครึ่งไม้บรรทัด แล้วสิ่งที่ผมเห็นก็คือพร้าวคอร์ดมันเป็นทั้งคนหลายคู่ด้านนอกของประตูทุกคู่ดูสกปรกมาอยู่ได้ทันทีเลยว่ามันไม่ใช่ความกลัวจึงรีบลุกขึ้นเข้าห้องนอนที่นุ่มจัดไว้ให้ แล้วนอนคงต่อคนที่เห็นการกระทำของผมก็แปลกใจสงสัยว่าผมเป็นอะไรพวกมันจึงเดินตามเข้ามาถามผมในห้องผมก็เลยตอบแต่ว่ากูเหนื่อยขอนอนก่อนแล้วกันแต่ถึงอย่างนั้นผมก็หลับไม่ลงเลยทั้งคืนว่าจะมารับอีกทีก็เช้าแล้วผมหลับไปนานแค่ไหนไม่รู้มารู้ตัวตื่นอีกทีก็เป็นเวลา 18:00 น เมื่อผมตื่นขึ้นมาก็พบว่าผมอยู่คนเดียวในป่าแถมให้เพื่อนเจ้ากรรมมันดันล็อคประตูหน้าบ้านจากภายนอกมือถือผมก็แบตหมดสายชาร์จอยู่ตรงไหนก็หาไม่เจอ ตอนนั้นผมกลัวมาเอามันกำลังจะเข้าอีกแล้วผมเลยเสียงปีนออกหลังบ้านไปบ้านข้างๆที่ว่างอยู่คือจะออกมาจากตรงนั้นให้ได้แล้วก็ไปนั่งรอพบกันตรงร้านข้าวหน้าปากซอยเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆก็เดินทางกลับมา พวกมันแปลกใจว่าผมออกมาจากบ้านได้ยังไงออกมาตอนไหนแต่ผมก็ไม่พูดอะไรบอกกับปุ๋ยว่าอยากกลับแล้วจากนั้นผมกับปุ๋ยก็แยกย้ายกันกับเบลและนนท์วิธีรถมอเตอร์ไซค์ออกมาโดยมีผมเป็นคนซ้อนท้าย ระหว่างที่กำลังจะออกจากหมู่บ้านจู่ๆผมก็เห็นบางสิ่งทบหลังปุ๋ยรัวๆแล้วปากก็พูดไม่หยุดว่าไปๆมึงไปเร็วๆเลยไปเร็วตอนนั้นผมกลัวมากยังจำภาพหลอนของคืนก่อนได้ติดต่อ รีเลย์บิดคันเร่งขี่รถเร็วมากส่วนผมก็ร้องโวยวายตลอดทางเพราะเราขี่มาจนถึงวัดวันหนึ่งผมก็เริ่มมีอาการสงบหรอก ให้ปุ๋ยเห็นผมกำลังจะหอบอยู่จึงถามว่าเมื่อกี้มึงร้องโวยวายอะไรเป็นอะไรของมึงวะ แต่ผมก็บอกกับมันว่ากลับไปที่หอก่อนแล้วจะเล่าให้ฟังเพราะเรากลับมาถึงหอผมก็เล่าให้มันฟังว่าตอนที่ผมโวยวายนั้นผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งรูปร่างผอมดาบเนื้อแห้งติดกระดูกใส่เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ยใช้คนนั้นวิ่งตามรถของพวกเราล้มลุกคลุกคลานแต่ก็ตามมาไวมากจนเกือบจะถึงรถของพวกเราพอมาถึงหน้าว่าชายคนนั้นก็หายไป เพราะผมเราให้ปุ๋ยฟังก็ยิ่งกลัวหนักมากขึ้นไป หลังจากกินข้าวอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็นั่งหายใจหายคอกันอีกสักพักเริ่มสงบลงผมกับเพื่อนก็เข้านอนตอนเช้าก็ไปตักบาตรทำบุญที่วัดเมื่อผมได้กลับไปที่หมู่บ้านนั้นอีกครั้งก็สอบถามชาวบ้านแถวนั้นว่าบริเวณที่เพื่อนผมไปเช่าอยู่มันเคยมีอะไรหรือเปล่าทำไมคนถึงไม่ค่อยมาอยู่กัน ผมจึงได้รู้จักปากคนแก่แถวทั้งที่ตรงนั้นเคยเป็นสุสานแขกมาก่อนแล้วได้มีการล้างป่าช้าจากนั้นก็ก่อสร้างบ้านที่มาให้เช่าอย่างที่เห็นนั่นแหละผมคิดว่าผมเป็นเพราะน้ำมันจากที่อยู่ในขวดรักยมกระเด็นเข้ามาในตาของผม จึงทำให้ผมเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นก็เป็นได้

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

หมาตาเพชร !!


          วันนี้ผมมีประสบการณ์จะมาเล่าให้ฟังซึ่งเป็นเรื่องที่ผมได้เจอกันเป็นหมู่คณะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 13-14 ปีที่แล้วตอนนั้นผมยังเด็กและเป็นช่วงปิดเทอมแก๊งของผมซึ่งเป็นเด็กในซอยจะออกไปนั่งเล่นกันที่สะพานปูนเป็นประจำนั่งเล่นกันอย่างนี้ทุกวันบางวันถึงดึกดื่นเลยก็มีพื้นนั้นเป็นวันพระแล้วเป็นคืนเดือนเลยพวกเราทั้ง 7 คนอยู่กันครบแก๊งยืนอยู่ตรงสะพานปูนนั่นแหละในมือก็มีไฟฉายอยู่คนละกระบอกเผาแถวนั้นค่อนข้างมือ ในขณะที่พวกเรากำลังยืนเล่นกันอยู่นั้นก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างอยู่ตรงกลางสะพานเหล็กซึ่งอยู่คนละฝั่งกับสะพานปูนของพวกเรา เมื่อส่องไฟไปดูก็เห็นหมาตัวหนึ่งกำลังนอนอยู่บนสะพาน หมาตัวนั้นหันหน้ามาแสงไฟจากไฟฉายก็กระทบกับดวงตาของมันเกิดเป็นประกายสะท้อนกลับมา พวกเรายืนมองหมาตัวนั้นกันอยู่สักพักเพราะเห็นว่าดวงตาของมันๆดูแปลกๆมีลักษณะเหมือนกับแขกในขณะที่พวกเรากำลังสงสัยกันอยู่นั้นจู่ๆก็มีเสียงเหมือนกันหินตกลงไปในน้ำ พวกเราหันไฟฉายส่องลงไปในกล่องแทบจะพร้อมกันแต่ก็ไม่พบอะไรมีเพียงน้ำที่สั่นไหวเท่านั้นเพราะต้องขึ้นมาบนสะพานเหล็กอีกครั้งก็พบกับชาย 2 คนร่างกายสูงใหญ่เหมือนคนโบราณภูเขาใส่ผ้าเข้ามาด้านบนเปลือยเปล่าคนนึงถือจออีกคนถือเสียบกำลังทำท่าเหมือนจะตีหมาตัวนั้นแสงไฟฉายที่สาดส่องป้าย ทำไม่ใช้ทั้งสองคนนั้นหันหน้ามาทางพวกเราผมยังจำติดตาได้ดีกว่าใบหน้านั้นมันน่ากลัวมาก เมื่อสายตาของพวกเขาจ้องมองมาพวกเราก็ตามร้องอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจในเสี้ยววินาทีนั้นใช้ปริศนาสองคนก็วิ่งลงจากสะพานโดยก้าวขาเพียงแค่ 3 9 ใช่ครับมันอาจจะฟังดูปกติแต่มันแปลกตรงที่สะพานเหล็กมีความยาวประมาณ 5 เมตรค่าเฉพาะช่วงกลางของสะพานยังไม่รวมทางลาดชันเพื่อลงไปยังพื้นถนนซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนก้าวเดินได้ยาวขนาดนั้นด้วยความสงสัยและมีพวกเราอยู่กันเยอะก็เลยตัดสินใจวิ่งตามชายสองคนนั้นไป พวกเราวิ่งตามไปได้ไม่ถึงสองคนก็มองไม่เห็นชายสองคนนั้นแล้วจังหวะนั้นก็มีรถขับสวนมาพอดีพวกเราจึงถามคนขับรถขนาดว่าเห็นชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งถือจออีกคนถือเสียงผ่านมาทางนี้หรือเปล่า แต่คนขับรถก็บอกว่าไม่เห็นใครคืนนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันกลับบ้านด้วยความสงสัยคนหวาดกลัวเล็กน้อย เพราะตอนเช้าผมก็กลับมายังสะพานนั้นอีกครั้งมองสำรวจบริเวณโดยรอบคิดสงสัยว่าเมื่อคืนนี้มันคืออะไรกันแน่ ขณะที่ผมสอดส่ายสายตาอยู่นั้นก็เหลือบไปเห็นศาลเจ้าหลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับสะพานปูนผมไม่รู้ว่ามันมีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือเปล่าแต่หลังจากวันนั้นแล้วพวกเราก็ไม่เคยเจอหมาตาเพชรกับชายสองคนนั้นอีกเลย

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

คำสัญญา !!


           สวัสดีครับผมชื่อเฟสวันนี้มีเรื่องมาเล่าให้ฟังเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับอาของผมเองครับแค่มีชื่อว่าผ่อนแต่ผมเรียกแกว่าเขียวที่เรียกอย่างนั้นเพราะผมกับมาคนนี้สนิทกันมาไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดแทบจะไม่เคยห่างกันเลยเพราะผมติดพาคนนี้มาแต่ทุกคนเชื่อไหมครับว่าคนที่มีของดีติดตัวมาตั้งแต่เกิดมีอยู่จริงซึ่งผมก็คือหนึ่งในนั้นแกมีปานดำเกือบทั้งหน้าและลิ้นก็ดำด้วย พ่อผมได้เล่าให้ผมฟังว่าตอนที่พ่อกับแม่ยังเด็กวิ่งเล่นกับพ่ออยู่ใกล้กันกับถนนเป็นเหตุให้ถูกรถกระบะคันหนึ่งชนแบบต่างๆจนกระเด็นเข้าไปในกองไฟข้างทางเมื่อปู่กับย่าเห็นก็ตกใจมากรีบวิ่งไปดูอาการของหมาที่ถูกรถชนว่าเป็นยังไงบ้างแต่ปรากฏว่าอารมณ์นั้นกลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่รอยขีดข่วนตามร่างกายก็ไม่มี สร้างความแปลกใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมากจนกระทั่งพ่อก็คงมีครอบครัวและมีผมเกิดมาหาก็มักจะมาเล่นกับผมอยู่บ่อยๆตั้งแต่เด็กจนผมโตขึ้นผมก็มักจะไปหาแกที่บ้านเป็นประจำทำให้เราสนิทกันมา เวลาผ่านไปก็มาถึงวันที่พ่อกับแม่ผมต้องย้ายบ้านไปต่างจังหวัดทำให้ผมกับไม่ได้เจอกันอีกเลยเป็นเวลาหลายปี แล้วผมก็ได้กลับไปที่บ้านเกิดอีกครั้งเพราะปู่ผมเสีย ทำให้ผมเจอกับอาที่ผมรักมากที่สุดและมีจำนวนพี่น้องของพ่อทั้งหมด 11 คนหลังจากงานศพครั้งหนึ่งเวลาผ่านไปอีกหลายปีผมก็ได้ข่าวจากนาแก้วที่โทรมาบอกพ่อของผมว่า อาคนที่ผมรักมากที่สุดเข้าโรงพยาบาลเป็นเดือนๆแล้วผมเองตกใจอยู่เหมือนกันไม่คิดว่าแกจะต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะแกเป็นคนแข็งแรงมาก เมื่อผมกับครอบครัวเดินทางไปถึงโรงพยาบาล หมอก็พูดเกี่ยวกับอาการของและค่ารักษาทำให้พวกเราได้รับรู้ว่าอาของผมดันน้ำท่วมปอดต้องรีบรักษาอย่างเร่งด่วนและค่ารักษานานต้องใช้เงินทั้ง 2 ร้านเลยทีเดียวผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงแพงขนาดนั้นส่วนอาผมเองที่รู้ว่าถ้าจะรักษาชีวิตตัวเองไว้ต้องหาเงินมาจ่ายถึงสองล้านห้าถึงบอกกับหมอว่าหมอฉีดยาให้ผมตายเถอะอย่าให้ใครต้องมาลำบากเพราะแกพูดออกมามันทำให้ผมถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่และร้องไห้ออกมา ของพูดกับอาแต่ว่าไม่นะผมไม่เกี่ยวตายเด็ดขาดเขียวต้องอยู่กับผมอยู่ให้เห็นได้หลานสะใภ้ก่อนอยู่ให้เห็นหน้าเลนส์ก่อนอยู่กับผมไปนานๆนะ ผมก็หนาแน่นพร้อมกับร้องไห้จนหมดสติไปสองสามวันต่อมาก็ออกจากโรงพยาบาลมารักษาตัวต่อที่บ้านผมอยู่ได้อีกไม่นานก็เสียที่บ้านหลังนั้นนานเลยน้องของพ่อได้โทรมาบอกทางบ้านผมว่าอาเสียแล้วก่อนที่แกจะเสียก็ได้บอกไว้ว่า บอกทุกคนด้วยว่ามาได้เพียงแค่นี้ไม่ต้องเสียใจเพราะแกพูดจบแกก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ เมื่อผมได้รับรู้มันก็ทำให้ผมถึงกับร้องไห้ออกมาแบบไม่รู้ตัวเพราะถึงวันงานศพผมกับแฟนที่เพิ่งจะขอโอกาสก็ไปงานของแกดีกว่านั่งรอเตรียมฟังพระสวด ในระหว่างนั้นเองร้านของผมอยากเข้าห้องน้ำทิ้งขอให้ผมไปเป็นเพื่อนหน่อยผมก็เดินไปส่งขอไปเถอะแฟนผมก็เข้าห้องน้ำที่อยู่ใต้ต้นไทรต้นใหญ่ในขณะที่ผมกำลังยืนรออยู่นานก็รู้สึกเย็นที่สันหลังและมีความรู้สึกว่าเหมือนมีใครกำลังจ้องมองผมอยู่จึงหันไปมองที่คนต้องใส่แล้วมันก็ทำให้ผมอึ้งกับสิ่งที่เห็นเราที่โคนต้นไทรนานเฮียกบอมที่ตายไปแล้วยืนอยู่มันทำให้ผมถึงกับทำอะไรไม่ถูกผมมองตาค้างที่ต้องใส่ยืนอยู่อย่างนั้นจนแฟนผมเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วถามผมว่าเป็นอะไร เริ่มตั้งสติได้ผมจึงบอกเธอไปว่าเปล่าไม่มีอะไรครับไปนั่งที่เดิมเถอะจริงๆแล้วตอนที่ผมเห็นอายืนอยู่นานอะแกชี้มาที่แฟนผมด้วยซึ่งผมคิดว่านั่นคงเป็นคำสัญญาที่แก้ได้ให้ไว้กับผมว่าจะอยู่รอให้ได้เห็นหน้าหลานสะใภ้ก่อนแล้วผมก็เหมือนจะได้ยินเสียงที่คุ้นหูพูดขึ้นเบาๆดูว่าเห็นหลานสะใภ้แล้ว แต่ตอนนั้นผมไม่คิดอะไรเราเข้าใจว่ากูคงไม่เอามาถึงวันสุดท้ายที่ต้องเผาศพทุกคนที่ช่วยกันนำนมสดไปที่เมรุและเตรียมที่จะเผาแล้วผมก็ได้ยินเสียงนั้นดังขึ้นมาอีกแต่ครั้งนี้มันดังได้ชัดเจนว่ามันเป็นสิ่งที่ผมคุ้นหูเป็นอย่างมากสิ่งนั้นพูดว่าไปก่อนแล้วหลานคำพูดสั้นๆที่เหมือนจะมีเพียงของคนเดียวที่ได้ยินมันทำให้ผมถึงกับร้องไห้เสียงดังมาจนทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นตกใจเมื่อจู่ๆผมเป็นอะไรหลังจากวันนั้นที่เผาศพอาไปแล้วผมก็ไม่เคยเจออาทิตย์ผมรักคนนี้อีกเลย

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เจอดีผีภูลังกา​ ณ​ เจดีย์​ศรีบุญเนาว์ !!


            สวัสดีครับผมชื่อกี่วันนี้ผมมีเรื่องมาเล่าให้ฟังกันอีกแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมานี่เอง วันนั้นเป็นวันคล้ายวันเกิดของน้องสาวเพื่อนผมเธอชื่อน้องน้ำฝนเพื่อนผมก็เลยมาชวนผมกับแฟนไปเที่ยวด้วยกันไปแต่ครอบครัวแต่ด้วยเหตุที่ลูกผมเพิ่งจะลืมตาดูโลกได้แค่ 4 เดือนแฟนผมจึงไม่ได้ไปด้วย บ้านผมจึงไปแค่ผมกับพี่ชายอีก 2 คนและแฟนของพี่ชายทั้งสองรวมแล้วบ้านผมก็มีกัน 5 คนคือผมที่โทรพี่จอยแฟนของพี่โทและไกลแฟนของพี่อ้วนทางบ้านเพื่อนผมก็จะมีให้แม็กซิมแฟนของไอแม็กและน้ำฝนน้องสาวของมันซึ่งเป็นเจ้าของวันเกิดต้องบอกก่อนเลยว่าพวกเราสายเที่ยวตัวจริง ในภาคอีสานไม่มีจังหวัดไหนเลยที่เราไม่เคยไปแต่ก็ไม่ได้เที่ยวทุกที่ขนาดนั้นด้วยที่พวกเราเกิดอยู่จังหวัดนครพนมอยู่แล้วน้ำฝนผู้เป็นเจ้าของวันเกิดจึงเสนอให้เราไปปีนเขาในจังหวัดกาญ มีเทือกเขาอยู่ในตัวอำเภอบ้านแพงที่ได้ยินมาว่าบนยอดเขามีเจดีย์สีอุ่นเอาตั้งอยู่เป็นเจดีย์สีทองสวยงามมากเราจึงตกลงกันและเก็บข้าวของที่จำเป็นเตรียมตัวเดินทางในวันรุ่งขึ้นมีลงเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ที่ดูแลอุทยานแห่งชาติภูลังกาฉันทำให้เรื่องการเข้าไปปีนเขาไม่ใช่ปัญหาเลยครับผมได้โทรประสานงานกับลุงไปที่เรียบร้อยเพราะถึงวันรุ่งขึ้นพวกเราก็ได้ไปถึงจุดที่ปีนเขาบอกเลยนะครับใครว่าปีนเขาที่ภูกระดึงเหนื่อยและปริญญาร้องมาปีนที่ภูลังกาดูมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงที่ภูกระดึงมีลูกค้าที่เราสามารถจ้างลูกหาบสัมภาระของเราขึ้นไปได้โดยพระ เอาก็เดินตัวเปล่าๆขึ้นไปแต่ที่ภูลังกาไม่มีที่ภูกระดึงมีจุดพักเหนื่อยอยู่ 5 จุดซึ่งแต่ละจุดจะห่างกันประมาณ 1,000 เมตรหรือ 1 กิโลเมตรแต่ละจุดจะมีร้านค้าเยอะแยะมากมายทั้งขายเครื่องดื่มขายของที่ระลึกและมีเสื้อผ้าเยอะแยะส่วนที่ภูลังกาไม่มีสักอย่างทั้งจุดพักหรือร้านค้าที่อยู่ข้างบน แน่นอนว่าที่ภูกระดึงมีระยะทางไกลกว่าเราจะมีระยะทาง 5 กิโลเมตรจากตีนเขาซึ่งที่ภูลังกาที่เราจะปีนี้ระยะทางแค่ 3 กิโลเมตรแต่ที่โหดกว่าคือมันไม่มีบันไดเหมือนที่อื่นมีแค่ทางเดินทางเท่านั้นพวกเราเริ่มเดินทางตั้งแต่ 7 โมงเช้าโดยมีเจ้าหน้าที่นำทางและบรรยายเรื่องป่าไปด้วยสิคนก่อนหน้านั้นพวกเราได้แจ้งเวลาว่าจะค้างคืนบนยอดเขาคืนหนึ่งผมสังเกตเห็นว่าเจ้าหน้าที่แต่ละคนไม่มีสัมภาระติดตัวมาด้วยเลยแต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาด้วยความที่เราเป็นผู้ชายแล้วก็มีกันถึง 4 คนคือเอกโทตรีแม็กส่วนผู้หญิงก็มี 4 คนเช่นกันคือจอยไก่ ไอ้เชนน้ำฝนแล้วปล่อยให้พวกผู้หญิงค่อยๆเดินไปกับเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้หญิงเราที่เป็นผู้ชายมีความคิดว่าเราต้องแข่งกันใครไปถึงยอดก่อนเป็นผู้ชนะส่วน 3 คนที่แพ้ต้องออกเงินกันซื้อเบียร์เลี้ยงคนที่ชนะเพราะตกลงกันแล้วต่างคนก็ต่างวิ่งเพราะวิ่งไปได้นี่นาก็เริ่มมีอาการเหนื่อยล้ากันทุกคนเอาพวกมันเอาแฟนมาด้วยข้าวของที่พวกมันแดกจนมีเยอะกว่าของที่มาคนเดียวเพราะผมไม่ได้เตรียมอะไรมามีเพียงแค่เต็นท์ถุงนอนผ้าห่มเตาแก๊สปิคนิคแล้วก็เนื้อแช่แข็งในกล่องโฟมเล็กๆที่ผมเตรียมไว้ส่วนของพวกมัน ใครที่เคยได้ฟังเรื่องราวประสบการณ์ของผมมาก่อนหน้านั้นจะรู้ว่าผมเป็นคนที่เห็นสิ่งลี้ลับที่คนอื่นมองไม่เห็นและก็เห็นจนชินแล้วด้วยในตอนนั้นผมก็เห็นแม่ชีกำลังเดินจงกรมอยู่ท่านอยู่บนภูเขาแบบนี้คงมาปฏิบัติธรรมอย่างตั้งใจเพื่อนๆกับผมก็แวะไปกราบนมัสการจากนั้นก็เดินทางต่อเพราะเดินไปอีกสักพักผมก็เห็นภาพเดินจงกรมอยู่เช่นกันจึงเข้าไปถึงจะกราบนมัสการแต่ที่เพื่อนผมไม่ตามมานมัสการด้วยเมื่อพระท่านนั้นเห็นผมเข้ามาก็ได้ถามผม พวกเราเดินกันมาเรื่อยๆจนมาถึงยอดเขาส่วนคนที่มาถึงก่อนก็คือผมเพราะผมได้เปรียบตั้งแต่ของที่ถือขึ้นมาแล้วพวกเรานั่งพักรออยู่พัก ผู้หญิงก็ขึ้นมาถึงการหลังเจ้าพักเหนื่อยกันได้พอประมาณเราก็มองหาทีที่เราจะกางเต็นท์ เจ้าหน้าที่จึงชี้ไปยังลานหินกว้างซึ่งเป็นลานหินกว้างมากจริงๆ ๆเราพากันไปกางเต็นท์ที่นั่นเพราะการเสร็จก็ออกไปถ่ายรูปกันไปกราบไหว้เจดีย์และถ่ายร่วมกันในที่ต่างๆจนเวลาไกลคำเชิญแฟนไอแมคอยู่ๆมันก็กรีดร้องลั่นแล้ววิ่งเข้ามาหาคนในกลุ่มพูดปากสั่นโดนผีหลอกผีหลอก เพราะผมหันมองไปยังทิศทางที่เธอวิ่งมานานก็เห็นจริงๆครับวิญญาณตอนนั้นเขาน่าจะเป็นชาวบ้านที่มาเก็บของป่าแล้วอาจเกิดเหตุไม่คาดคิดที่ทำให้เขาตายก็ได้เพราะเขาไม่มีหัวแต่คนอื่นกลับมองไม่เห็นวิญญาณตนนั้น ในตอนนั้นเองน้ำฝนน้องใหม่มาก็บอกกับผมว่าเห็นมีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินอยู่ตรงที่เขาสร้างศาลาให้พักซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเจดีย์เท่าไหร่น่ะ แล้วน้ำฝนก็เดินไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่คนนั้นเมื่อผมมองตามไปก็ดูปกติดีแต่ว่าเจ้าหน้าที่คนนั้นไม่ได้ขึ้นมาพร้อมกับเราเพราะใกล้เข้ามาอีกนิดเพราะพี่ๆเจ้าหน้าที่จึงบอกกับพวกเราว่าจะขอกลับก่อนแล้วบอกว่าพักแรมกันให้สนุกนะตอนนี้อาทิตย์กำลังจะตกเป็นแสงสีทองสวยมากๆ ณเวลานั้นต่างคนก็ต่างเก็บภาพกันใหญ่ผมก็ถ่ายของผมไปแล้วหันไปมองที่น้ำฝนก็พบว่าน้ำฝนกำลังนั่งคุยกับเจ้าหน้าที่คนนั้นที่ทำให้ผมเกือบจะตั้งสติไม่ได้คือพี่ชายผมไอ้โถ่มันร้องทักน้ำฝนว่าเอาฝนมานั่งทำอะไรอยู่คนเดียว เจ้าหน้าที่คนนั้นก็หันมามองตาเขมรเหมือนจะโกรธพี่ชายผมมาแล้วเธอคนนั้นก็หายไปเพราะน้องฝนหันกลับไปก็ไม่เจอเจ้าหน้าที่คนนั้น เธอรู้แล้วว่าที่นั่งคุยด้วยอยู่ตั้งนานสองนานนั้นไม่ใช่คน หลังจากนั้นเราก็เริ่มก่อไฟปิ้งย่างอะไรกินพร้อมกับลืมไปตามปกติฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จึงทำให้บางคนหลับไปก่อนแต่คนที่ยังไม่หลับก็จะมีผมที่เจมส์จิโทน้องน้ำฝนและแม้ตอนนั้นเองก็มีพระธุดงค์รูปหนึ่งเดินผ่านจุดที่เรากางเต็นท์พักแรมอยู่ด้วยความที่ผมเห็นผีจนชินจึงไม่คิดอะไรมาเลยว่าจะนอนพักสักหน่อยให้แม่กับพี่โทรกลับมองเห็นกันเต็มๆ แล้วพระธุดงค์รูปนั้นก็เริ่มสูงขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆจนเท่ากับยอดเจดีย์ ด้วยความที่มันเป็นผู้ชายและอยู่กับผมจึงไม่แสดงอาการอะไรมาแต่คนที่น่าเป็นห่วงคือพี่เจนนี่เจนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกได้แต่พูดเบาๆและสั่นบอกว่าผีผีผีพูดซ้ำๆอยู่อย่างนั้นจนผมได้พาไปใส่ให้พี่เจษจึงได้สติกลับมานิดหน่อยแต่เธอก็ยังคงชอบกับสิ่งที่เห็นอยู่ อย่างน้อยพวกเราก็โล่งใจเพราะคิดว่าน้องน้ำฝนไม่เห็นจึงบอกให้น้ำฝนพาพี่เจนไปนอนแล้วนอนเป็นเพื่อนพี่เจนด้วยแต่ปรากฏว่าสู้ๆนะฝนก็ตัวสั่นทำตาขวางใส่พวกเราแล้วบอกกับผมว่า แล้วพวกมึงจะมาทับที่กูทำไม หันไปมองดูเต้นท์​ของพวกผู้หญิงก็เห็นว่ามีวิญญาณอยู่รอบรอบเดินและนั่งอยู่บนเต็นท์​ด้วย รวมรวมแล้วประมาณ 4-5 ตนได้ผมจึงรีบทำพิธีขอขมาลาโทษแล้วย้ายเต็นท์นานมากการตรงหน้าเต็นท์ของพวกเราส่วนพี่โทรก็มาช่วยผมยายแทนเพราะพี่ผมก็รู้ว่าผมพอจะมีวิชาอาคมติดตัวอยู่บ้างที่ท่อซิ่งผมไอ้แม่ก็ดูน้องอยู่ผมเลยไม่อยากกวนคนที่หลับไปก่อนก็ตื่นขึ้นมาไม่รู้เรื่องราวอะไรออกมามองซ้ายมองขวาแบบงงๆแต่ก็พูดกันมาพร้อมๆกันเลยว่ะ ผีหลอก ผมเองที่เห็นผีเป็นประจำยังตกใจพี่ด้วยเลยเพราะมองดูเราก็เห็นมีแต่ผีทั้งนั้นรวมทั้งผีเจ้าหน้าที่คนที่น้ำฝนไปคุยด้วยในตอนนั้นก็มีวิญญาณตนหนึ่งเดินเข้ามาด้านข้างเขามาหาผมแล้วกระซิบที่ข้างหูผมว่าจะกินอะไรก็ไม่แบ่งระวังจะอยู่ไม่เป็นสุข พร้อมรับรู้และเข้าใจได้ทันทีจึงทำการขอขมาอีกครั้งแล้วบอกว่าจะทำบุญไปให้กับวิญญาณทุกๆตอน จากนั้นก็นำขนมที่เราเก็บไว้ซึ่งยังไม่ได้แกะออกจากแพ็คนำมาแกะออกอย่างละ 2 แล้วนำไปเซ็นวายไม่นานอาการของพี่เจษและน้ำฝนก็กลับมาเป็นปกติ

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ตำนานล้านนาวันลอยกระทง !!


        เราชื่อจิตราเป็นครูสอนในโรงเรียนระดับประถมศึกษาเด็กนักเรียนที่เรารับผิดชอบ 2 คือชั้นประถมศึกษาปีที่๔ซึ่งเด็กๆจะมีอายุเฉลี่ยประมาณ 10 ขวบเราจบครูระดับประกาศนียบัตรชั้นสูงวิชาเอกสังคมศึกษาและพ่อมาสอนที่โรงเรียนจริงๆเราต้องสอนเกือบทุกวิชาทั้งวิชาคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์สังคมศึกษาภาษาไทยและกระทั่งวิชาว่าเขียนเราก็ต้องสอนแต่ก็จะมีครูเฉพาะในบางวิชาเช่นรู้ภาษาอังกฤษและครูพลศึกษาที่มาช่วยสอนเป็นบางชั่วโมง ช่วงนี้เป็นภาคเรียนที่ 2 ซึ่งจะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงมีนาคมเดือนนี้เป็นเดือนพฤศจิกายนซึ่งทุกๆปีเดือนนี้ก็จะมีประเพณีที่สำคัญประเพณีหนึ่งของคนไทยนั่นก็คือประเพณีลอยกระทงซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 ปีนี้ก็เหมือนเช่นเคยเพราะใกล้จะถึงวันลอยกระทงทั้งโรงเรียนก็จะมีกิจกรรมประกวดหนูน้อยนพมาศและประกวดการทำกระทง ในชั่วโมงสังคมศึกษาเราได้สอนนักเรียนเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของประเพณีลอยกระทงประวัติที่เราจะเล่าให้นักเรียนฟังนี้เป็นประวัติการลอยกระทงของล้านนาหรือทางภาคเหนือซึ่งจะแตกต่างกับของภาคกลาง แล้วบอกนักเรียนว่าวันนี้เราจะเล่าประวัติของประเพณีลอยกระทงหรือลอยโขมดของล้านนาเด็กๆทุกคนในห้องตั้งตั้งใจฟังกันอย่างมากคงจะสนใจคำว่าขโมยเราจึงอธิบายให้นักเรียนฟังว่าเขาหมดคือผีชนิดหนึ่งที่มีไฟระยิบระยับ 2 ออกมาเด็กๆทุกคนต่างพากันเงียบเราจึงเริ่มเล่าต่อว่าในอดีตสมัยเมืองหริภุญชัยหรือลำพูนในปัจจุบัน ได้มีกลุ่มคนหรือชาวมอญอพยพมาจากเมืองสุธรรมวดีหรือสะเทินแล้วมาอยู่ที่เมืองหริภุญชัยซึ่งต่อมาเมื่อญี่ปุ่นชายที่เกิดโรคระบาดที่เรียกว่าโรคห่าหรืออหิวาตกโรคสมัยนั้นไม่มียารักษาผู้คนจึงล้มตายเป็นอันมากชาวบ้านที่เหลือจึงได้อพยพกลับไปยังเมืองสุธรรมวดีที่อยู่ในประเทศพม่า อาศัยอยู่ที่นั่นได้ประมาณ 2-3 ปีก็ทราบข่าวว่าโรคห่าได้หายไปหมดแล้วจึงมีผู้คนจำนวนหนึ่งอยากอพยพกลับมาในเมืองหริภุญชัยเหมือนเดิมแต่ก็ยังมีพรรคพวกญาติมิตรที่ไม่ยอมอพยพตามมาด้วย เพราะบางคนได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองสุธรรมวดีและบางคนก็แต่งงานกับคนสุธรรมวดีแล้วจึงไม่ออกยกตามมา ดังนั้นในวันเพ็ญเดือน 12 พระจันทร์เต็มดวงเมื่อได้ชมแสงจันทร์วันเพ็ญก็เหมือนโดนมนต์สะกดให้รำลึกและคิดถึงคนที่เป็นพีระ ชาวมอญที่อพยพมาอยู่ที่เมืองหริภุญชัยก็คิดถึงญาติมีพี่ยังอยู่เมืองสุธรรมวดีในประเทศพม่าจึงได้ทำกระทงใส่ของจุดไฟไว้ในกระทงและนำไปลอยแม่น้ำเพื่อส่งของและความคิดถึงไปยังญาติพี่น้องที่เมืองสุธรรมวดี แต่ละคนก็ปล่อยให้กระทงไหลไปตามน้ำเมื่อแสงไฟในกระทงกระทบกับน้ำก็เกิดแสงระยิบระยับคล้ายกับผีโขมดดังนั้นจึงเรียกการลอยกระทงว่าลอยโขมด พอเราพูดจบก็หันไปวาดรูปกระทงที่บนกระดานดำออกกำลังจะหันหน้ามาหานักเรียนก็ได้ยินเสียงเด็กชายอุทัยตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า คุณครูครับระวังเหยียบเท้ายายครั้งเราก็รีบก็มองไปที่เท้าตัวเองด้วยความตกใจแต่ก็ไม่เห็นใครยืนอยู่แถวนั้นเลยลองยืนงงๆอยู่หน้าห้องสักพักก็ได้ยินเสียงนักเรียนในห้องหัวเราะที่อาจจะตลกท่าทางของเราตอนที่ตกใจหรือหัวเราะใส่เด็กชายอุทัยหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอานอกจากเด็กชายอุทัยแล้วก็ไม่เห็นมีใครเห็นคุณยายมายืนหลังเราอย่างที่เด็กชายอุทัยยืนยันหนักแน่นว่าผมเห็นนิยายกว่า 1 ไม่ยืดด้านหลังคุณครูจริงๆครับแล้วก็มีเสียงนักเรียนหญิงคนหนึ่งพูดกันว่า คุณครูขาเด็กชายไทยคงจะละเมอเมื่อตะกี้หนูเห็นเด็กชายกูไทยนั่งสัปหงกอยู่ค่ะ ของโคตรนั้นเรียกเสียงหัวเราะยังครึ้มเก่งขึ้นภายในห้องหลังจากสอนจบชั่วโมงนั้นก็เป็นเวลาพักกลางวันพอดีทุกคนจึงไปรับประทานอาหารกลางวันที่โรงอาหารของโรงเรียน ขณะที่เรากำลังเดินไปห้องพักครูก็ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งที่โทรมาจากทางบ้านบอกข่าวร้ายว่าคุณแม่ของเราได้เสียชีวิตแล้วด้วยสาเหตุหกล้มในห้องน้ำและหัวฟาดพื้นอย่างแรง ท่านเพิ่งจะอยู่ได้ 72 ปี เราไม่นึกเลยว่าแม่ของเราจะจากไปเร็วแบบนี้ เมื่อเราทราบข่าวร้ายนั้นจึงรีบขอลาอำนวยการกลับบ้านเพื่อไปจัดงานศพให้แม่ หลังจากที่ทำการฌาปนกิจคุณแม่เรียบร้อยแล้วเราก็กลับมาทำงานตามปกติแต่ในใจของเราก็ยังคงติดใจคำพูดของเด็กชายอุทัยที่บอกเห็นยายแก่ๆมายืนใกล้ๆเราซึ่งตรงกับเวลาที่แม่ของเราเสียพอดีอีกทั้งเราก็เคยได้ยินเรื่องราวของเด็กชายอุทัยซึ่งหลายคนได้มาเล่าให้ฟังว่าเด็กชายอุทัยมีสัมผัสที่หกหรือเป็นเด็กเห็นผี วันนั้นเราจึงเรียกเด็กชายอุทัยเข้ามาคุยด้วยเราถามเด็กชายอุทัยว่าวันที่ครูเล่าเรื่องประวัติลอยกระทงให้ฟังเธอบอกครูว่าให้ระวังเหยียบเท้าใหญ่เธอพอจะจำได้ไหมว่ายายคนนั้นสวมเสื้อสีอะไรเด็กชายอุทัยบอกว่าจำได้ครับผมจำหน้าได้ด้วยวันนั้นยายคนนั้นนุ่งเสื้อคอกลมสีขาวแขนยาวมีลายจุดสีเขียวและนุ่งผ้าถุงสีน้ำตาลลายดอกรักเรารู้สึกตกใจมากๆคือชุดที่แม่เราใส่ในวันที่ท่านเสียชีวิตจริงๆแม่ของเราคงเป็นห่วงเราและอาจจะอยากมาบอกลาเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ เราเริ่มเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่าเด็กชายไทยมีสัมผัสที่ 6 และเป็นเด็กเห็นผีจริงๆดังนั้นเราจึงต้องหาคำตอบให้ได้ หลังจากโรงเรียนเลิกคนที่เราไปหาคนแรกก็คือสิยาภิบาลหรืออาจารย์ประจำหมู่เกาะที่อยู่ใกล้บ้านของเราและสาเหตุที่เราไปบอกก็เพราะว่าเด็กชาวไทยนับถือศาสนาคริสต์และมักจะมาที่โบสถ์​นี้ พอไปถึงเราก็คุยกับสิริยาภิบาลท่านได้บอกว่า เด็กชายอุทัยมีสัมผัสที่ 6 จึงมองเห็นผีแล้วอาจารย์ก็เล่าต่อว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งมีผู้ชายคนหนึ่งมาหาอาจารย์ที่บอกแล้วบอกว่าเขาโดนผีอำบ่อยมาก ใช้คนนั้นขอร้องให้ช่วยหาสาเหตุว่าทำไมโดนผีอำบ่อยๆทั้งๆที่เขาสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืนเพราะทำไปสอบถามมาก็ได้รับคำตอบว่าคนในบ้านของชายคนนั้นมักจะไปงานฉลองต่างๆและมักจะได้รับเครื่องรางของขลังที่ทำพิธีปลุกเสกพระเจ้าภาพของงานนั้นเมื่อได้มาแล้วก็ไม่ได้นำมาบูชาส่วนใหญ่จะเก็บไว้ตามซอกตู้วางบนโต๊ะแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอธิบายจึงบอกว่าเครื่องรางของขลังนานอาจจะเป็นสาเหตุที่เป็นสื่อของผีมารซาตานก็ได้เราบางครั้งอาจจะมีการปลุกเสกโดยนำดินมาจากป่าช้าหรือเอาเถ้ากระดูกของคนตายมาทำพิธีใช้มนต์ดำเพื่อให้เครื่องราง ครั้งนั้นศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นของพวกนี้บางทีอาจจะมีวิญญาณชั่วสิงสถิตอยู่แล้วออกมาหลอกหลอน เมื่อชายคนนั้นได้ฝากจึงขอให้อาจารย์ช่วยแก้ไขอาจารย์จึงแนะนำให้ถูกยิงแต่คนที่จะทุบทิ้งได้นั้นต้องมีจิตใจเข้มแข็งอาจารย์จึงบอกว่าจะพบเครื่องรางเหล่านั้นให้โดยให้ชายคนนั้นนำเครื่องรางของขลังมาทำพิธีในโบสถ์ก่อนที่จะถูก หลายวันผ่านไปไม่ใช่คนนั้นกลับมาอีกครั้งก็ได้นำเครื่องราง 5 อันเล็กไว้ที่เสื้อตรงบริเวณไหล่ข้างละตัวอีกตัวหนึ่งเหน็บไว้ที่เอวด้านหลังส่วนอีก 2 ตัวใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ วันนั้นเด็กชายอุทัยอยู่กับศิษยาภิบาลพอดีเพราะชายคนนั้นเดินมาถึงประตูเด็กชายไทยก็พูดขึ้นมาว่าเขาเห็นมีปีศาจนั่งอยู่บนบ่าของชายคนนั้น 2 ตัวและมีปีศาจเดินตามหลัง 1 ตัวอีก 2 ตัวเดินขนาบข้าง เพราะชายคนนั้นเดินเข้าประตูโบสถ์มาอีสัสทั้ง 5 ตัวก็กระโดดหนีหายไปหลังจากทำพิธีทุกเครื่องรางเสร็จแล้วชายคนนั้นก็กลับบ้านไป หลายสัปดาห์ต่อมาชายคนนั้นก็กลับมาบอกว่าเขาไม่ถูกผีอำอีกเลย สิ่งที่ 10 ยาภิบาลเล่าให้เราฟังนั้นทำให้เราเริ่มเชื่อมากขึ้นว่าเด็กชายคู่ไทยมีสัมผัสที่ 6 จริงๆ

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ค่ายลูกเสือ​ยุวกาชาด !!


         เราชื่อมิ้นปัจจุบันอายุ 20 ปีแล้วเรื่องที่เราจะเล่านี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่เราอายุได้ประมาณ 13 ปีกำลังเรียนอยู่ชั้นม 1 และกำลังจะเข้าสู่เทอมที่ 2  ตอนนั้นเราจะต้องไปเข้าค่ายที่จังหวัดสุพรรณบุรีเราดีใจมากเราเป็นคนหนึ่งที่ชอบเข้าค่ายแบบนี้ค่ายนี้เป็นค่ายลูกเสือยุวกาชาดครูฝึกเป็นทหารทั้งหมดการเข้าค่ายในครั้งนี้มีตั้งแต่ระดับชั้นม 1 ถึงม 3 ร่วมโรงเรียนอื่นด้วยอีกประมาณ 3 โรงเรียนเรามีเพื่อนสนิทอยู่ 2 คนชื่อมุกกับแปลงพวกเราสนิทกันมาไปไหนก็ไปด้วยกันตลอดพอมาเข้าค่ายในครั้งนี้พวกเราก็เลือกที่จะนอนด้วยกัน พอไปถึงบริเวณห้องพักก็เห็นว่ามันมีทั้งหมดอยู่ 10 ห้องระยะห่างแต่ละห้องก็จะห่างกันประมาณ 10 เมตรอยู่ได้ห้องละ 30 คนจากนั้นก็มีการแบ่งกลุ่มกันเพื่อเข้าไปอยู่ในแต่ละห้องเรากับเพื่อนสนิทได้อยู่ห้องที่ 8 เมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในห้องก็มองเห็นประตูห้องน้ำอยู่ตรงหน้าเลยมันตรงกับประตูทางเข้าพอดีมองไปรอบๆก็เห็นว่ามันเป็นห้องโล่งโล่งมีเสื้อยาวๆคู่อยู่สองฟากฝั่งเผื่อไว้ให้ปูที่นอน ห้องนี้มีขนาดกว้างกว่าอพาร์ทเม้นท์นิดหน่อยและมีพัดลมอยู่ตรงเพดานห้อง 1 ตัวหลังจากที่เก็บของเสร็จและหาที่นอนได้แล้วพวกเราก็เดินเล่นสำรวจบริเวณโดยรอบก็เห็นว่าด้านหลังห้องที่เราพักอยู่นั้นมันเป็นป่าช้าและห้องที่เราพักอยู่ก็อยู่ใกล้กับป่าช้ามากที่สุดในเช้าของวันแรกก็ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นพวกเราทำกิจกรรมทุกอย่างไปตามปกติ เพราะถึงเวลากลางคืนรู้เรื่องก็บอกให้ทุกคนรีบไปเข้านอนแต่เราก็ไม่ได้เอะใจอะไรเดินกลับไปห้องพักห้องของเราพักกันอยู่ 28 คนเราเปลี่ยนกันเข้าห้องน้ำเพื่อนำซึ่งภายในห้องน้ำจะแยกเป็นห้องเล็กๆ 4 ห้องมีส้วมอยู่ภายในอยู่ทางด้านซ้ายมือสองของทางด้านขวามืออีก 2 ห้องมีถังน้ำวางอยู่ในทุกๆห้องเพื่อให้นักเรียนได้อาบน้ำกันและมีถังขยะใบหนึ่งวางอยู่ข้างนอกประตูของห้องน้ำทางด้านทรายสำหรับทิ้งสิ่งต่างๆขอดูคนอาบน้ำกันเสร็จเราก็นอนลงบนที่นอนติดตัวไว้ทั้ง 2 ฝั่งซึ่งพวกเรานอนอยู่ชิดติดกันอาจจะขยับไปไหนไม่ได้เลย และ 2 ฝั่งชะอำเฮ้าส์เข้าหากัน เว้นเพียงระยะตรงกลางเอาไว้สำหรับเป็นทางเดินแล้วก็มีคนเดินไปติดไฟทำให้ในห้องมืดไปหมดเพราะดูนาฬิกาก็เห็นว่าตอนนั้นเป็นเวลา 5 ทุ่มแล้วแต่เรากับเพื่อนก็ยังไม่หลับนอนเล่นโทรศัพท์และคุยเรื่องสนุกๆที่เขาทำกันในตอนเช้าโดยใช้แสงไฟจากมือถือช่วยส่องสว่าง ส่วนคนอื่นๆก็คุยเล่นกันตามประสาเด็กต่างโรงเรียนที่ได้เจอเพื่อนใหม่ ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามา เราจึงพร้อมใจกันแล้วแกล้งนอน ประตูค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ แสงสว่างจากภายนอกค่อยๆเล็ดลอดเข้ามาภายในห้อง เราแอบหรี่ตามองดูก็เห็นเป็นครูฝึกคนหนึ่งเดินเข้ามาภายในห้องเพื่อมาตรวจดูว่าพวกเราหลับกันหรือยังเมื่อครูฝึกเห็นว่าพวกเรานอนกันหมดแล้วจึงปิดประตูแล้วเดินออกไป พระครูฝึกออกไปได้สักพักเราก็ลุกขึ้นมาเล่นและคุยกันต่อบ้างก็จับกลุ่มเล่นโทรศัพท์เล่นจำ้จี้ตามประสาเด็กยุค 90 เวลาผ่านไปจนเกือบจะเที่ยงคืนเราก็เริ่มที่จะง่วงนอนเพื่อนหลายคนก็หลับไปแล้วจึงแยกย้ายกันเข้านอน ขณะที่เรากำลังเคลิ้มจะหลับจู่จู่ๆก็ได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำดังขึ้น แล้วบอกว่าปิดเบาๆหน่อยคนจะหลับจะนอน แต่ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมาทุกคนต่างตกใจกับเสียงประตูปิดจนตีนกันแทบจะทุกคนมองไปยังห้องน้ำก็ไม่เห็นมีใครเดินออกมาถามไฟล์ก็ยังปิดอยู่ด้วยก็เลยนอนกันต่อ ไม่นานนักก็มีลมเย็นๆพัดเข้ามาภายในห้องไปห้องน้ำที่เปิดเองโดยที่ไม่มีใครอยู่ใกล้ห้องน้ำหรือเดินเข้าไปเปิดเลยเพื่อนคนหนึ่งที่กำลังนอนอยู่ก็โวยวายคือใครเนี่ยหนาวนะเว้ยทันใดนั้นเสียงประตูห้องน้ำก็เปิดออกถามทางที่ไม่มีคนเปิดแล้วไฟห้องน้ำก็ปิดแล้วเปิดอีกเหมือนกับว่ามีคนอยู่ในนั้นจากนั้นก็มีเสียงดังกุกๆกักๆเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างกระทบกับอื่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องถึงกับนอนไม่หลับได้แต่นั่งมองหน้ากันเราคิดว่ามีเวลาตีหนึ่งแล้วใครมาเล่นอะไรพิเรนแบบนี้ สักพักก็มีคนพูดขึ้นมาว่าอะไรกันนักหนาเนี่ยคนจะหลับจะนอนอย่ามากวนได้ป่ะ แล้วเธอคนนั้นก็ลุกขึ้นเดินตรงไปวางที่จะปิดไฟขณะที่กำลังยื่นมือไปจะปิดสวิตช์ที่อยู่ตรงหน้าห้องน้ำแต่ยังไม่ทันได้ปิดไฟห้องน้ำก็ดับลงทุกคนในห้องที่มองอยู่ต่างรองเคยอุทานออกมาด้วยความตกใจหลายคนนั่งหน้าตาตื่นส่วนเราก็มองหน้ากันกับเพือนแต่ไม่พูดอะไร ถ้าแกพรุ่งนี้มีผีป่าววะ พูดจาอะไรไม่เป็นมงคลแบบนี้ เพื่อนต่างโรงเรียนถกเถียงกันใหญ่คนที่ใจกล้าพูดขึ้นอย่างไม่กลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น อย่าทิ้งกันเลยนอนต่อดีกว่านะไม่มีอะไรหรอกเธอเราพูดขึ้นหวังยาวสุดที่กำลังปะทุก่อนที่ครูฝึกจะเดินมาทำโทษพวกเรานะแล้วก็มีเพื่อนอีกคนหนึ่งลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่หน้าห้องน้ำเปิดไฟและมองเข้าไป สักพักเธอก็นั้นก็กรีดร้องขึ้นมาทุกคนต่างตกใจกับเสียงร้องนานแล้วก็มีเพื่อนอีกคนหนึ่งลูกตามเข้าไปดูเลยถามด้วยความเป็นห่วงว่า เฮ้ยแกเป็นอะไรอ่ะ เพื่อนคนนี้ส่งเสียงกรีดร้องนั้นก็ตอบกลับมาว่ายังจำถังขยะพวกนั้นได้ชื่อว่าตอนแรกมันอยู่ที่ปิดประตูเลยนะเว้ยเพื่อนคนที่ยืนอยู่ด้วยตรงนั้นก็หันไปมองตามมือของเพื่อนคนที่ชื่อเมื่อเธอหันไปมองก็สังเกตเห็นว่าถังขยะที่เคยตั้งอยู่ข้างประตูห้องน้ำทางด้านซ้ายมันกลับย้ายไปอยู่สุดห้องน้ำห้องสุดท้ายทางด้านขวาเงียบไปสักพักแล้วก็เลยบอกเพื่อนให้กลับไปนอนต่อดีกว่าแล้วบอกว่าอาจจะเป็นลมพัดทางไปก็ได้อย่าคิดมากเพราะสิ้นเสียงพูดคุยทั้งสองก็เดินกลับไปยังที่นอนของตัวเองด้วยท่าทางที่สัตว์ ในเวลาเดียวกันนั้นนี่เพื่อนของเราก็เอ่ยปากว่าปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำแต่กลัวจึงอยากให้เราไปส่งที่ห้องน้ำหน่อยเราก็ตอบตกลงว่าจะไปส่งแล้วเรากับเพื่อนก็เดินไปเข้าห้องน้ำกันเรายืนรอเพื่อนอยู่หน้าห้องน้ำข้างถังขยะเช่ากับทางก็มองห้องน้ำห้องอื่นไปด้วยจนสังเกตเห็นว่าท่อน้ำที่ตรงกับประตูห้องน้ำล่ะมีเทียนสีดำปักอยู่และมีกระถางธูปตั้งอยู่ด้วยเราแปลกใจว่าทำไมตั้งแต่เข้ามาปูที่นอนยังห้องพักดีเราถึงมองไม่เห็นมันในขณะที่เรากำลังคิดและสงสัยอยู่นานเพื่อนของเราที่มาเข้าห้องน้ำก็เปิดประตูอย่างแรงจนเกิดเสียงดังแล้วเธอก็วิ่งออกมาหน้าตาตื่น เหมือนกับกลัวอะไรสักอย่างพร้อมก็พูดด้วยเสียงที่สั่นว่า ฉันไม่อยากอยู่ห้องนี้แล้ว​ เราก็ตอบกลับไปว่าคงไม่ได้หรอกตอนนี้ห้องอื่นผมนอนหลับกันหมดแล้วเพราะเส้นเสียงเราก็เดินออกจากห้องน้ำส่วนเพื่อนก็เดินตามหลังเรามาติดๆแต่ยังไม่ทันที่จะก้าวขาออกจากประตูห้องน้ำไฟห้องน้ำก็ดับเองโดยไม่รู้สาเหตุเพื่อนในห้องที่เห็นเหตุการณ์ตามก็นั่งกอดกันแน่นแล้วหันมามองทั้งที่เรากับเพื่อนอยู่ด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว แต่เราก็พยายามใจแข็งแล้วพูดกลับไปว่าไม่มีอะไรหรอกแค่ไฟมันไม่ดีเท่านั้นอีกทั้งสิ้นเสียงของดาวประตูห้องน้ำก็ปิดทุกคนในห้องกรีดร้องด้วยความกลัวรวมถึงเรากับเพื่อนด้วยเราพยายามจะเปิดประตูออกไปดังสุดแรงเกิดแต่ก็เปิดไม่ได้ดันเท่าไหร่ประตูก็ไม่ยอมเปิดทั้งทั้งที่ไม่ได้ล็อคไว้มันเหมือนกับว่ามีอะไรดันประตูอยู่ข้างนอกในตอนนั้นเองไฟในห้องน้ำก็เปิดปิดอย่างบ้าคลั่งเป็นจังหวะเหมือนกับที่เราพยายามเปิดประตู เพื่อนๆประมาณ 5 คนที่อยู่หน้าประตูห้องน้ำตรงห้องนอนก็พยายามที่จะช่วยเปิดถ้าเปิดยังไงก็เปิดไม่ได้ สักพักพอเราตั้งสติได้ก็สวดมนต์ในขณะที่มือก็ยังพยายามดันประตูอยู่ไม่นานประตูก็เปิดออกเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นตอนนั้นเรากับเพื่อนกลัวกันมาจึงวิ่งออกจากห้องนี้ไปทางห้องประชุมโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมอง พอวิ่งมาถึงก็เจอครูฝึกคนหนึ่ง ตอนนั้นเราก็เป็นเพื่อนๆที่ตามมาด้วยส่วนหนึ่งก็รู้สึกโล่งใจมาก เมื่อครูฝึกเห็นหน้าตาตื่นตกใจของพวกเราก็ถามเรื่องราวว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อนของเราจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ครูฟัง เมื่อครูฝึกได้รับรู้เรื่องราวก็บอกให้พวกเรานอนที่ห้องข้างครูฝึกไปก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกทีวันต่อมาครูฝึกคนเดิมเมื่อเจอหน้าพวกเราก็พูดขึ้นว่าเมื่อคืนพวกเธอคงเจอมาแล้วสิล่ะเรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี่เองตอนนั้นมีเด็กนักเรียนคนอื่นมาเข้าค่ายนอนห้องที่พวกเธออยู่นั่นแหละแล้วไปทำอีท่าไหนไม่รู้ตีกันในห้องจนมีเด็กคนหนึ่งอาการโคม่าหามส่งโรงพยาบาลแต่หมอบอกว่าเสียชีวิตก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาลแล้วหลังจากนั้นทางเข้าจึงนิมนต์พระมาสวดทุกอย่างก็เป็นปกติดี เวลาผ่านไปได้ 1 อาทิตย์ก็มีนักเรียนมาเข้าค่ายแล้วนอนที่ห้องน้ำจู่ๆก็วิ่งออกมาแบบพวกเธอนี่แหละพวกนั้นบอกว่าเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไล่ออกมาเด็กคนนั้นหน้าตาน่ากลัวสภาพร่างกายเหมือนกับสอบครูก็เลยนิมนต์ถ้ามาอีกรอบถ้าท่านก็บอกว่าต้องหาของคาวหวานมาให้วิญญาณตนนั้นยังไม่ไปไหน ที่สำคัญต้องเอาเทียนและธูปมาจุดไฟพร้อมบอกกล่าวว่าจะมีคนมานอนที่นี่ห้ามรบกวนถ้าไม่มีใครคิดจะทำร้ายหรอก วิญญาณตนนั้นมันก็เลยเงียบไปพักหนึ่ง ในช่วงหลังมานี้ครูไม่ได้จุดเทียนบอกกล่าวเราคิดว่าพวกเธอคงไม่เจอแต่ไม่คิดว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก หลังครูฝึกเล่าจบคืนที่สองเราก็ขอย้ายไปอยู่ห้องอื่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นทำให้เราไม่อยากจะไปเข้าค่ายที่ไหนอีกเลยถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

งานศพหลาน!!

           เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณป้าของเราเล่าให้ฟังอีกทีค่ะ ย้อนกลับไปประมาณ 20 ปีก่อน ลุงกับป้าได้ข่าวว่าหลานชายเสียชีวิตที่จังหวัดส...