วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เสียงกรีดผนัง ข้างห้อง !!

         
        
          เฟรินทำงานร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองพัทยาตอนที่ย้ายไปใหม่ๆไม่มีเงินมากนัก จึงตัดสินใจไปเช่าห้องห้องแบบแบ่งให้เช่า ตึกที่ไปเช่านั้นชั้นล่างเปิดเป็นบาร์ ส่วนชั้นบนเปิดเป็นห้องเล็กๆเป็ยห้องเช่าอยู่ โดยใช้ใม้อัดแบ่งเป็นห้องๆโดยราคาห้องเช่าเดือนละ 1500 บาท ค่าน้ำค่าไฟฟรี เฟรินเห็นว่าคาเช่าถูกดีจึงตกลงเช่า ในคืนแรกที่เค้าพักเฟรินนอนหลับสบายดี หรืออาจจะเป็นเพราะทำงานอยู่จึงทำให้เหนื่อย แต่แล้วคืนที่สองเรื่องสยองก็เกิดขึ้น คืนนั้นเฟรินเลิกงานตอนเที่ยงคืน กลับถึงห้องอาบน้ำแล้วกำลังจะเข้านอน แต่เสียงเพลงที่บาณ์ชั้นล่างก็ยังคงดังอยู่ ดังขึ้นมาข้างบนเบาๆ เฟรินก็เลยนอนเล่นมือถือไปเพลินๆ พอเล่นไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนกับเล็บขูดกับฝาห้อง เสียงขูดฝาห้องเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ สักผักก็มีเสียงร้องเท้าส้นสูงเดินไปเดินมา เฟรินคิดว่าคงจะมีคนมาเช่าห้องข้างๆ จึงเล่นมือถือต่อโดยไม่คิดอะไร จรกะทั้งเวลาตี 2 บาร์ก็ปิดเสียงเพลงเงียบลงแล้วเสียงเล็บขูดกับฝาห้องก็กลับมาอีกครั้ง เฟรินพยายามไม่คิดอะไรแล้วข่มตานอนให้หลับ ทำทุกอย่างที่ทำให้ตัวเองหลับ ยิ่งดึกเสียงเดินไปเดินมาก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงเดินพร้อมกับเสียงเล็บขูดดังจนเฟรินเริ่มทนไหมไหว จึงสวดมนต์แล้วทำใจให้สงบ แล้วเสียงเดินและเสียงเล็บก็ค่อยๆหายไปเฟรินคิดว่าเจอดีเข้าให้แล้ว แต่ตอนนั้นเฟรินง่วงมากจึงเผลอหลับไปโดยที่ไม่รู้ตัว พอรู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงเด็กมาเรียก "พี่ๆ ตื่นๆ ไม่ไปทำงานหรอ" เสียงเรียกแว้วๆอยู่ในหูทำให้เฟรินตื่น พอมองไปรอบๆก็ไม่มีใครอยู่แถวนั้น เฟรินจึงรีบอาบน้ำแล้วไปทำงาน วันนั้นทั้งวันเฟรินคิดแต่เรื่องนั้นเรื่องเดียวกลับไปกลับมาว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อคินนั้นเป็นเสียงของคนข้างห้องหรือว่าเป็นเสียงอะไรกันแน่ คืนนี้ต้องหาคำตอบให้ได้หลังเลิกงานเฟรินกลับถึงห้องเที่ยงคืนกว่าๆรีบอาบน้ำแล้วเข้าห้องนอน หยิบมือถือมาเล่นบนเดียงเหมือนอย่างเคยเสียงเพลงจากบาร์ดังขึ้นมาเบาๆ ในขณะที่กำลังเล่นเกมอยู่นั้น ในใจก็คิดว่าอย่าได้มีอะไรผิดปกติอีกเลย ตีสองผ่านไปเสียงเพลงก็เงียบลง สักพักเสียงปิดประตูบาร์ก็ดังขึ้น แสดงว่าตอนนี้จะมีแค่เฟรินคนเดียวในตึกนี้เท่านั้น เพราทั้งตึกมีเฟรินอาศัยอยู่แค่ห้องเดียว ส่วนห้องอื่นๆไม่มีคนมาเช่าอยู่ท่ามกลางเสียงเงียบที่สงบไม่น่าก็ได้ยินเสียงเล็บขูดกับพนังก็ดังขึ้น เฟรินขนลุกขึ้นมาทันที ในใจก็ได้แต่คิดว่าจะมาทำไมเรากลัวนั ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดันขึ้น ด้วยเสียงหัวเราะที่น่าขนลุกเฟรินรู้สึกขึ้นได้กับเสร็จผมบนหัวที่รุกชัน ทั้งเสียงเดินและเล็บขูดข้างฝาเฟรินรู้ตัวว่าไม่ได้คิดไปเอง เพราะทุกครั้งทีได้ยินเสียงเฟรินยังมีสติดีทุกอย่าง แต่ด้วยความง่วงเฟรินก็เผลอหลับไปรุ่งเช้าเฟรินตื่นไปทำงานปกติทำเหมือนกันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นแบบนี้อยู่หลายคิน จนกระทั้งวันหนึ่งเฟรินปวดเป็นไข้ปวดหัวมากจึงนอนพักอยู่ที่ห้อง ในขณะที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่นั้นสายตาก็ดันไปสบกับสายตาคู่หนึ่งเป็นผู้หญิงผมยาวใส่เก่าๆลอยอยู่บนเบดานเขาค่อยๆลอยลงมาจนตัวเราแทบจะติดกัน สายตาเราทั้งสองจ่องมองกันและกันแล้วเฟรินก็พูดขึ้นมาว่า "พี่อย่ามาหลอกหนูเลยวันนี้หนูไม่สบาย หนูกลัว" พอพูดจนมือของเธอคนนั้นก็มาแตะที่หัวจองเฟริน แล้วอาการปวดหัวของเฟรินก็หายไป แล้วเธอก็หายไปต่อหน้าต่อตา หลังจากนั้นเฟรินก็หลับไปทั้งๆที่กลัวจนแทบขาดสติ พอตื่นขึ้นมาก็เป็นเช้าของอีกวันแล้ว อาการปวดหัวตัวร้อนหายเป็นปลิดทิ้ง จึงรีบลุกขึ้นไปใส่บาตรระลึกถึงเธอผู้นั้นให้ได้รับบุญที่เฟรินทำในวันนี้ เฟรินกลับห้องด้วยจิตใจที่กล้าหารมากขึ้น พยายามสลัดความกลัวทิ้งไปให้หมด ขณะที่กำลังก้าวขึ้นบรรไดทีละก้าว ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินตามมาทีละก้าวตามเธอมา เฟรินจึงพูดขึ้นมาว่า หนูมาจากต่างจังหวัดไม่มีที่ไปหนูขออยู่อาศัยหลับนอนโปรดอย่าได้มาเบียดเบียนกันเลย ต่างคนต่างอยู่ถ้าอยากหลอกก็ขอให้มาในรูปแบบของเสียงก็แล้วกันอย่ามาให้เห็นเป็นตัวเป็นตนเลย แล้วหนูจะหมั่นทำบุญไปให้นะ เฟรินอาศัยอยู่นั้นมา 5 เดือนเต็มๆระหว่างที่อาศัยอยู่ในระยะเวลา 5 เดือน ไม่มีวันไไหนเลยที่จะไม่โดนผีหลอก มันทำให้เฟรินกับสิ่งที่แม่เคยบอกว่าเมื่อเฟรินยังเด็กเฟรินเคยปวดเป็นไข้เลือดออกอาการหนักมาก เลือดไหลออกทางปากและจมูก จนหัวใจหยุดเต้นไปเกือบ 1 นาทีเฟรินในตอนนั้นเหมือนตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ มันจึงอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เฟรินที่จะเห็นแล้วสัมผัสถึงวิญญาณได้บ่อยๆ และแม่ยังบอกอีกว่าตอนเด็กๆเฟรินมักจะชอบพูดว่าปู่มาแล้วปู่มาแล้วทั้งๆที่ปู่ของเฟรินนั้นได้เสียไปนานแล้ว และเรื่องก็มีเพียงเท่านี้ครับขอขอบคุณผู้ที่มาอ่านทุกท่าน

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

งานศพหลาน!!

           เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณป้าของเราเล่าให้ฟังอีกทีค่ะ ย้อนกลับไปประมาณ 20 ปีก่อน ลุงกับป้าได้ข่าวว่าหลานชายเสียชีวิตที่จังหวัดส...