วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2561

มึงเอาของกูไปทำไม !!




      เรื่องนี้เป็นเรื่องของคุณโบว์ในตอนเด็กที่ตัวเธอนั้นได้ไปเล่นที่บ้านของตัวเองที่ไม่ได้อยู่อาศัยมาแล้วหลายปี เธอยังไปบ้านนั้นตามลำพังจนชิน ซึ่งไม่คิดเลยว่าจะเจอเหตุการณ์แปลกๆภายในบ้าน จนทำให้ชีวิตของเธอนั้นต้องเปลี่ยนไปจนถึงปัจจุบัน ในสมัยที่เราอายุ 10-11 ขวบ เราเป็นเด็กที่อยู่ทางภาคเหนือ อาศัยอยู่กับป้าเพราะพ่อกับแม่ ไปทำงานที่ชลบุรีตั้งแต่โบว์ยังเด็กนานๆท่านจะโทรมาหาสักที บ้านที่โบว์อาศัยอยู่กับป้า แถวนั้นเขาจะเรียกกันว่าบ้านเหนือ ส่วนบ้านกับพ่อแม่โบว์เอง จะเป็นหมูบ้านที่เรียกว่าบ้านใต้ ห่างกับเกือบๆ 1 กิโลเมตรซึ่งปิดล้างไว้เมื่อตอนที่พ่อกับแม่ ไปทำงานที่ชลบุรี และมันก็ร้างมาอย่างนั้น 7-8 ปีน่าจะได้ เรื่องที่เกิดขึ้นนี้มันเกิดที่บ้านร้างของตัวเองนี้แหละ ดวงความเป็นเด็กอายุ 10 ขวบพ่อกับแม่ไม่ได้อยู่ด้วย ก็จะเกิดความคิดถึงท่านทั้งคู่ โบว์ก็เลยปั่นจักรยานที่บ้านป้าจากบ้านเหนือไปบ้านใต้ เพื่อไปนั่งเล่นเป็นประจำ เกือบทุกอาทิตย์เลยก็ว่าได้ วันหนึ่งเวลาประมาณ 5 โมงเย็นกว่า โบว์ก็กลับไปยังบ้านของตัวเองแล้วใช้กุญแจที่มีอยู่ เปิดเข้าไปในรั่วบ้าน จากนั้นก็ปีนขึ้นต้นมะขามที่อยู่ใกล้กับกำแพงรั่วบ้านเหมือนปกติ บ้านหลังนั้นจะเป็นบ้านปูนชั้นเดียว มีรูปร่างลักษณะสี่เหลี่ยมพื้นผ้ากว้างยาวประมาณ 1 งานมีหน้าต่างไม้อยู่รอบๆบ้านแต่ถูกปิดไว้ทุกบ้าน เนื่องจากไม่มีคนอาศัยอยู่และมีต้นมะขามต้นใหญ่อยู่หนึ่งต้นซึ่งมีความสูงมากกว่าหลังคาบ้านซะอีก หลังจากที่เราปีนต้นมะข้ามเล่นเสร็จก็ไขกุญแจเข้าไปในบ้าน นั่้งเล่นเดินไปเดินมา ถึงแม้ว่าภายในบ้านจะมืดและวังเวงมาก เราก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรเพราะมันเป็นบ้านของเราเอง แต่ก็เคยได้ยินมาเหมือนกับว่า ถ้าบ้านไม่มีคนอยู่ จะมีสิ่งอื่นมาอยู่แทน ด้วยการที่เราไม่ได้ใส่ใจคำพูดนั้นสักเท่าไหรก็เลยไม่เก็บมาคิดอะไรมากเพราะไม่เคยเจอ เวลาผ่านไปถึง 6 โมงเราก็ยังอยู่ในบ้านหลังนั้น สายตาก็มองหาของภายในบ้านว่า จะเอาอะไรกลับไปได้บ้าง ของพ่อก็ดีของแม่ก็ได้ เราเดินหาไปเรื่อยๆในบ้านหลังนั้น สักพักเราก็เหลือบไปเห็นจานอะไรสักอย่าง โพล่ออกมาจากหลังตู้เสื้อผ้า จึงเอาเก้าอี้มาเพื่อที่จะขึ้นไปบนนั้นแล้วเอาลงมา เพื่อดูว่าในจานนั้นมีอะไร พอเราก้าวขาเหยียบขึ้นไปบนเก้าอี้ ก็มีความรู้สึกว่าเก้าอี้สั่นมากเหมือนกับมีคนเขย่าอยู่ ก็เลยรีบลงมา แล้วขึ้นไปอีกรอบเป็นครั้งที่ 2 คราวนี้เราขึ้นไปยืนได้จากนั้นก็เอื้อมมือไปที่จานไปนั้น ทั้งๆที่เอื้อมไม่ถึงทั้งๆที่จานก็ไม่ได้ไกลเลย เราพยายามเอื้อมมือไปหยิบอยู่พักหนึ่ง จนเหงื่อเริ่มออกก็ยังไม่ได้ ก็เลยคิดว่าถ้าใช้เก้าอี้คงไม่ถึงแน่ๆ ก็เลยลงมาแล้วมองไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ที่วางอยู่ติดกับตู่เสื้อผ้า ในที่สุดก็หยิบจานใบนั้นจนได้ ตอนนั้นเรายังไม่ทันได้ดูในจาน มัวแต่คิดบ่นกับตัวเองอยู่ว่า น่าจะขึ้นโต๊ะเครื่องแป้งตั้งนานแล้วมัวแต่ใช้เก้าอี้ตั้งนาน หลังจากนั้นเราก็ดูทั้งๆที่อยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งนั้นแหละ แล้วเราก็เห็นว่าภายในจานมีพระอยู่มากมายหลายองค์ แล้วก็มีหุ่นปั้นเหมือนกับกุมารตัวเล็กๆ ซึ่งมีขนาดเท่ากับนิ้วโป้ง แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้กลัวอะไร อย่างที่บอกไปเพราะมันเป็นบ้านของเราเอง เรายังคงมองหาสิ่งที่อยู่ในจานนั้นต่อไป แล้วก็ไปเจอกับพระองค์หนึ่งขนาดเท่ากับนิ้วโป้ง แต่จำไม่ได้ว่าเป็นพระอะไร เราคิดว่าจะเอากลับบ้านไปด้วยแล้วสักพักก็มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น หลังจากที่หยิบพระในจานออกมา สายตาเราก็ไปเห็นกับตรงกระจกโต๊ะเครื่องแป่ง มันทำให้เราตกใจมากทำให้เราขาแข็งเลยก็ว่าได้ เพราะในกระจบบานนั้นเราเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ห่างๆทางด้านขวาของเรา ตอนนั้นเราขยับตัวไม่ได้เลยเหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้ ร่างกายมันแข็งไปหมด สักพักเงานั้นก็เริ่มค่อยๆรอยเข้ามาเรื่อยๆ ยิ่งเข้ามาใกล้ร่างกายทางด้านขวาของเราก็รู้สึกเย็นมันเย็นอยู่ซีกเดียวส่วนร่างกายทางด้านซ้ายนี้เหงื่อแตกพลาก เขาเข้ามาใกล้มากจนหน้าแทบจะชิดติดกันอยู่แล้ว เขาหยุดอยู่ข้างๆเรา ตอนนั้นเรากลัวมากอยากจะหนึ แต่ก็หนีไม่ได้ สักพักเขาก็มากระซิบที่ข้างหูเรา มันเป็นเสียงผู้ชายแก่ๆพูดว่า "มึง เอาของกูไปทำไม" เมื่อได้ยินดังนั้นเราก็ขนลุก สันหลังเย็นวาบไปหมด พร้อมกับเงานั้นก็ค่อยๆหายไป คล้ายกับขวัญบุหรี่ เราหันกลับไปดูมองซ้ายมองขวา ก็ไม่มีใครเราขนลุกไปทั้งตัว จึงรีบวิ่งออกไปนอกบ่าน ตั้งหลักแล้วมองเข้าไปในบ้านพูดกับตัวเองในใจว่านี้มันบ้านเราเองนะทำไมถึงมีอะไรแบบนี้พอเราพูดจบก็ได้ยินเสียงผู้ชายแก่ๆ หัวเราะ เสียงนั้นเหมือนกังมาจากลำคอ แต่ครั้งนี้เราไม่เห็นเงาเพราะเราอยู่นอนบ้าน ด้วยความที่กลัวจึงเอาพระไปวางไว้ประตูข้างในบ้าน แล้ววิ่งกลับออกมา แล้วมาถามกับป้าว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับบ้านหลังนั้น ป้าก็เลยบอกว่าเงาที่เห็นนั้นเป็นเจ้าที่เขาอยู่ที่นั้นมานานมากแล้วอยู่ที่นั้นตายที่นั้นตั้งแต่ยังไม่ได้สร้างบ้านหลังนั้นซะด้วยซ้ำ ตอนที่พ่อแม่จะสร้างบ้านก็ได้ทำพิธีของขมาบอกกล่าวแล้วเขาก็อนุญาติให้สร้าง แต่พอออกกลับไม่บอกกล่าวกันเขาจึงมาบืดที่ตรงนั้นคืนแล้วของที่อยู่ในบ้านทั้งหมดก็เป็นของเขาห้ามใครหยิบเอาไปเป็นอันขาด และเรื่องก็มีเพียงเท่านี้ครับขอขอบคุณผู้ที่มาอ่านทุกท่าน

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

งานศพหลาน!!

           เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณป้าของเราเล่าให้ฟังอีกทีค่ะ ย้อนกลับไปประมาณ 20 ปีก่อน ลุงกับป้าได้ข่าวว่าหลานชายเสียชีวิตที่จังหวัดส...