วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เจอดีที่บ้านของเพื่อนแม่!!



      เมื่อ 4 ปีก่อนเมื่อเป็นวันหยุดเทศกาลวันปีใหม่ ผมได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวบ้านเพื่อนแม่ที่จันทบุรี พวกเราไปกันทั้งหมด 5 คนมีแม่ผม เพื่อนผมแล้วรุ่นพี่อีก 2 คน เมื่อไปถึงบ้านเพื่อนแม่แกก็ชวนพาไปเก็บเงาะที่สวน พอกลับมาจากสวนเงาะก็ใกล้ค่ำแล้วรุ่งพี่ผมคนหนึ่ง ก็ชวนผมออกไปซื้อเบียร์มานั่งกินกัน พวกเรานั่งกินไปเรื่อยๆจนถึง 3 ทุ่ม ป้าก้อยที่เป็นเพื่อนของแม่กับแม่เป็นคนที่ค่อนข้างนอนเร็วรุ่นพี่อีกคนที่นั่งดื่มด้วยกันเป็นหลานของป้าก้อย ด้วยความเกรงใจป้าก้อยกับแม่เขาก็เลยบอกว่าไปนั่งบ้านอีกหลังหนึ่งดีกว่าไม่มีคนอยู่จะได้ไม่รบกวนป้าก้อยกับแม่ที่นอนอยู่ ขณะที่พวกเรากำลังเก็บของแล้วกำลังเดินไป ป้าก้อยก็ลุกจากที่นอนแล้วถามว่าจะไปไหนกัน หลานของป้าก้อยจึงจอบไปว่าจะไปนั่งกินเบียร์กันต่อที่บ้านกลังเก่าแล้วก็นอนที่นั้นเลย ป้าก้อยดูสีหน้ากับวลเล็กน้อย แต่แกก็บอกว่าได้แล้วกำชับว่า ห้ามเปิดห้องประตูชั้นสองที่อยู่ด้วยขวาของบรรไดพวกเราก็รับปากแกว่าจะไม่เปิดห้องนั้น ป้าก้อยย้ำมาอีกทีว่าห้ามเปิดประตูชั้นสองด้านขวาของบรรไดเด็ดขาด หลังจากนั้นพวกเราก็เดินกันไปที่บ้านหลังนั้น บ้านหลังนั้นเป็นบ้านหลังเก่าที่ป้าก้อยเคยอยู่มันเป็นบ้านทรงไทยโบราณสองชั้นสภาพของบ้านค่อนข้างเก่ามากเลยทีเดียว เมื่อพวกเราเข้าไปในบ้านก็เห็นว่ามีฝุ่นกับใยแมงมุงเต็บไปหมดหลานของป้าก้อยก็สำรวจแล้วขึ้นไปยังชั้นสอง บอกว่าขึ้นมานั่งกินเบียร์กันที่ชั้นสองดีกว่าไม่มีฝุ่นหรือใยแมงมุงเลย พวกผมจึงตามขึ้นไปบนชั้นสอง เมื่อผมขึ้นมาถึงชั้นสองแล้วผมรู้สึกแปลกใจมาก เพราะมันสะอาดเหมือนกับมีคนอาศัยอยู่เลย ที่ชั้นสองนี้จะมีอยู่ 2 ห้องอีกห้องหนึ่งอยู่ด้านหน้าตรงกับบรรได ส่วนอีกห้องจะอยู่ด้านขวามือที่ป้าก้อยบอกว่าห้ามเปิดเด็ดขาดพวกเราจะไปนั่งกินเบียร์กันที่ห้องหน้าบรรได พรวกเรานั่งดื่มไปได้สักพักจู่ๆไฟก็ดับลง จึงใช้แสงไฟจากโทรศัพท์แล้วนั่งดื่มและคุยกันต่อ จนถึงเวลา 5 ทุ่มไฟก็ยังไม่มาแบทโทรศัพท์ก็จะหมด รุ่นพี่อีกคนก็บอกว่าช่วยกันเดินหาเทียนดีกว่าก่อนที่แบทโทรศัพท์จะหมด และพวกเราก็ช่วยกันหาเทียนทั้้งชั้นบนและชั้นล่างแต่หาเท่าไหรก็หาไม่พบผมจึงนึกขึ้นได้ว่ามีที่เดียวที่ยังไม่ได้หา คือห้องที่อยู่ด้านขวาของบรรไดที่ป้าก้อยบอกว่าห้อมเปิด ผมคิดในใจว่าหาเปิดหาเทียนเพียงแปปเดียวคงจะไม่เป็นไร ผมจึงตัดสินใจเปิดเข้าไปเมื่อผมเปิดเข้าไปแล้วสิ่งที่ผมเห็นก็คือ โต๊ะมันเหมือนกับโต๊ะพิธีอะไรสักอย่างมีของวางอยู่เต็มไปหมด แต่ผมก็ไม่ได้สนใจมองหาแต่เทียนและที่ห้องนั้นมันก็มีเทียนอยู่จริงๆ เทียนเล่มนั้นมันถูกใช้แล้ว แต่ผมก็หยิบมาแล้วบอกรุ่นพี่ว่าเจอเทียนแล้ว หลังจากนั้นก็ไปที่ห้องหน้าบรรไดอีกครั้งแล้วเอาเทียนมาจุดก็กินเบียร์กันต่อ พวกเราดื่มกันไปเรื่อยๆจนเบบียร์หมด พอเบียร์หมดไปฟ้าก็มาพอดีรุ่นพี่ก็เลยบอกว่า มาติดอะไรตอนเบียร์หมดว่ะเนี้ยจะนอนกันอยู่แล้ว ตอนนั้นเป็นเวลาตี 1 ใกล้จะตี 2 แล้วเพื่อนผมก็บอกว่าง่วงนอนกันดีกว่าผมก็ตอบตกลงแล้วปิดไฟ แต่เพื่อนมันบอกว่าเปิดไฟไว้ดีกว่าเพราะมันกลัวผีและไม่คุ้นสถานที่ด้วย จากนั้นทุกคนก็นอนหลับไป มีเพียงแต่ผมที่นอนไม่หลับ ขณะที่กำลังนอนอยู่นั้นผมก็ได้ยินเสียงปิดประตูที่ห้องด้านขวาของบรรได มันถูกเปิดออกแล้วก็ปิดทั้งๆที่ไม่มีใครอยู่ หลังจากนั้นก็มีเสียงเดิน เสียงนั้นค่อยๆเดินมาทางห้องที่พวกเรานอนกันอยู่แล้วหยุดอยู่ตรงหน้าประตู สักพักประตูห้องก็เปิดออกอย่างช้าๆ แล้วสิ่งที่ผมเห้นก็คือ ผู้หญิงแก่ใส่ชุดไทยเธอเดินตรงเข้ามาหาพวกเราที่นอนเรียงกัน 4 คนแล้วหยุดอยู่ตรงปลายเท้า หลังจากนั้นก็เดินวนไปวนมาที่ปลายเท้าอยู่ประมาณ 3 รอบ แล้วก็มาหยุดอยู่ตรงที่ผมที่นอนอยู่ริมฝั่งทางด้านซ้าย หญิงแก่คนนั้นหันมามองที่ผมทำหน้าเหมือนกับไม่พอใจผมกลัวมากจึงหันหน้าหนีไปอีกทางหนึ่งแต่หญิงแก่ก็เดินมาอยู่ตรงหน้าผมอีกไม่ว่าผมจะหันหน้าหนีไปทางไหนหญิงแก่ก็จะเดินไปทางนั้น ผมกลัวมากจนทนไม่ไหว หยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง ตอนนั้นรู้สึกได้ว่า หญิงแก่คนนั้นกำลังขยับเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆเธอดึงผ้าห่มที่ผมคลุมออกแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนห่างกับผมแค่สองคืบเท่านั้น ผมตกใจมากจนแหกปากร้องลั่นบ้าน รุ่นพี่ที่นอนหลับไปแล้วก็ตื่นแล้วถามผมว่าเป็นอะไร ผมช็อกตาค้างไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่พวกเค้าพูด พอผ่านไปสักพักสติผมก็เริ่มกลับคืนมา จึงเล่าให้พวกเค้าฟังว่าเมื่อทุกคนได้ฟังดังนั้นก็ไม่มีใครกล้าหลับอีกเลย พวกเราก็รอกันจบเช้าแล้วก็กลับไปบ้านหลังจากที่แม่กับป้าก้อยอยู่แล้วก็เล่าเรื่องเมื่อคืนที่เจอให้ฟัง ป้าก้อยจึงถามว่ามีใครไปเปิดประตูห้องชั้นสองที่อยู่ด้านขวาของบรรไดไหม ผมก็รับสารภาพไปว่าผมเป็นคนไปเปิดแล้วบอกว่าเพราะไปมันดับจึงไปเปิดเพื่อหาเทียนแล้วหยิบเทียนที่โต๊ะมา เมื่อป้าก้อยได้ยินก็ตกใจมากแล้วรีบพาพวกผมไปขอขมาในทันที หลังจากนั้นป้าก้อยก็บอกกับผมว่า ห้องนี้เป็นห้องของยายบุญคุณยายของป้าก้อยซึ่งตอนที่แกยังมีชีวิตอยู่ แกเป็นคนที่หวงบ้านพอสมควร และไม่ชอบให้ใครมายุ่งในห้องของแกด้วยผมก็เลยถามไปว่า แล้วโต๊ะพิธีนั้นเอาไว้ทำอะไรแต่ป้าก้อยก็จอบว่าเค้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นโต๊พิธีอะไร หลังจากที่ขอขมากันเสร็จแล้วพวกผมก็ลาป้าก้อยปล้วรีบเดินทางกลับกุรงเทพในทันที และเรื่องก็มีเพียงเท่านี้ครับขอขอบคุณผู้ที่มาอ่านทุกท่าน

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

งานศพหลาน!!

           เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณป้าของเราเล่าให้ฟังอีกทีค่ะ ย้อนกลับไปประมาณ 20 ปีก่อน ลุงกับป้าได้ข่าวว่าหลานชายเสียชีวิตที่จังหวัดส...