ขึ้นชื่อว่างานศพผมเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากไปสักเท่าไหร เพราะบรรยากาศในงานนั้นมีแต่ความหดหู่โศกเศร้าและวังเวง ปันเองเป็นคนไม่ชอบไปงานศพเหมือนกัน จะไปก็แต่ญาติที่สนิทกันจริงๆ ปันเชื่อว่าชีวิตหลังความตายมีอยู่จริงก็เพราะได้ประสบพบเจอด้วยตังเองในวันนั้นยายของปันเสีย ยายเป็นคนตัวเล็กรูปร่างผอมและหน้าตาดุมากปันจึงไม่ค่อยสนิทนัก ตอนที่ยายเสียตอนนั้นปันก็อายุ 12 ปีแล้ว ซึ่งท่านไม่ได้มีอาการป่วยอะไรเลย เพียงแค่หลับไปเฉยๆ ทั้งๆที่เรียกยังไงก็ไม่ตื่นขณะที่ยังหายใจอยู่ แม่กับป้าจึงรู้แล้วว่าถึงเวลาของยายแล้ว ย้ายเป็นคนรักบ้านเกิดมาก แม่และป้าจึงพยายามพายายกลับบ้านที่จังหวัดอ่างทอง พายายขึ้นรถโดยมีป้าเป็นคนขับรถ แม่กับป้าอีกคนคอยเรียกยายตลอดทาง ส่วนปันทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งเงียบๆในรถ พอมาถึงที่บ้านยายในจังหวัดอ่างทองแม่กับป้าก็เตรียมอุ้มยายลงจากรถ แต่น่าแปลกมาก ที่ไม่สามารถเอายายลงจากรถได้ทั้งๆที่แม่กับป้าสองคนเป็นคนสูงหุ่นพอดีไม่ผมไม่อ้วน ส่วนยายเราน้ำหนักไม่ถึง 42 กิโลกรัม แม่กับป้าน่าจะอุ้มไหวอยู่แล้วแต่กับอุ้มไม่ได้ ตอนนั้นปันเองก็งงมาก ปันจึงถามแม่ว่าทำไมยังอุ้มยายไม่ได้อีกค่ะ แม่ตอบว่ายายหนักมาก พอสิ้นเสียงที่แม่ตอบร่างยายก็หนักขึ้น เหมือนคนหนักสัก 100 กิโลได้ทั้งๆที่ยายตัวเล็กมาก ว่ากันว่านั้นคือยมทูต 4 ตนที่อยู่บนตัวของยาย ซึ่งรอที่จะเอาร่างยายไป ยิ่งทักว่านักน้ำหนักของยายก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นไม่รู้กี่เท่า พอช่วยกันพยายมานอนที่เตียงได้ แม่และป้าก็พยายามเรียกยายให้รู้สึกตัว แต่ถึงเวลาของยายแล้วและยายก็คงอยากจะมาตายที่บ้านเกิดด้วย ตกดึกยายเริ่มหายใจติดขัดลมหายใจเหือกสุดท้ายแรงมาก แล้วก็หยุดหายใจไปในที่สุดแม่ป้าและปันจึงต้องนอนเฝ้าศพของยาย เพราะต้องรอยันเช้าถึงจะรอร่างไปวัดได้ตอนนั้นปันกลัวมากถึงจะเป็นคนในครอบครัวก็รู้สึกกลัวอยู่ดี อีกทั้งตอนมีชีวิตอยู่ยายเป็นคนดุ ทำให้ปันรู้สึกกลัวหนักกว่าคนอื่น แต่ปันก็เผลอหลับไปตื่นอีกทีก็เช้า แม่กับป้ารีบติดต่อกบัทางวัดเพื่อนำร่างของยายไปทำพิธีตามศาสนา ด้วยที่เป็นวัดต่างจังหวัด คนที่บ้านยายเชื่อกันว่า ต้องนอนเผ้าศพที่ศาลาไม่งั้นศพจะเหงา ญาติพี่น้องของย้ายก็จะนอนเฝ้าศพทุกคืน แต่ให้ปันนอนที่บ้านกับพี่ๆ คืนที่สองหลังจากสวดเสร็จปันก็กลับมานอนที่บ้านตามปกติ แต่เวลาประมาณตี 3 ปันได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังหาของแต่พอมองหาก็ไม่เห็นใครปันกลัวมากนึกอยากจะไปหาแม่ ตอนนี้แม่คงตื่นแล้ว เพราะจะต้องทำกับข้าวเลี้ยงพระในตอนเช้า บ้านของยายอยู่ใกล้ศาลามากก่อนจะถึงศาลาต้องเดินผ่านเมรูก่อน เด็กหญิง 12 ขวบเดินผ่านเมรุตอนตี 3 ด้วยความรู้สึกกลัวแทบจะขาดใจ ตอนเริ่มออกมาจากบ้านก็พอมีแสงสว่างอยู่บ้างจึงไม่กลัวเท่าไหร แต่พอเข้าใกล้กับเมรุใจปันสั่นแบบบอกไม่ถูกไม่กล้าแม้จะมองไปรอบๆ ตลอดทางที่เดินผ่านขนลุกไปทั้งตัวและได้ยินเสียง "ฮื้มมม" เหมือนเสียงคนที่พูดในลำคอขณะที่ผ่านเมร พอเดินไมาได้ครึ่งทางปันรู้ว่าทนไม่ไหวแล้วจึงวิ่งแบบไม่คิดชีวิตไปหาแม่ให้เร็วที่สุด หลังจากที่จัดงานเผาศพเสร็จเรียบร้อยปันแม่และป้าจึงเดินทางกลับบ้านโดยน้ำโกศของยายกลับมาที่บ้านด้วย ระหว่างทางที่เดินเข้าซอยไปได้ครึ่งซอย ทุกคนก็ได้กลิ่นธูปแรงมาก เหมือนมีคนจุดธูปเป็นกำๆแล้วเอามาให้เราดม มิหน่ำซ้ำยังมีกลิ่นน้ำอบที่ยายชอบใช้อีกด้วย ตอนนั้นทุกคนรู้เลยว่าตอนเป็นยายแน่ๆ ยายคงจะตายกลับบ้านมาแล้วสงสัณญาณให้พวดเราได้รับรู้ หลังจากที่กลับมาถึงบ้านที่กรุงเทพ ช่วงแรกที่ยายเสียคนในบ้านจะได้กลิ่นธูปกับน้ำอบบ่อยมาก เหมือนยายยังห่วงและคิดถึงลูกหลานอยู่จึงมาหา มาดูความเป็นไปของแต่ละคน แม่ได้เล่าว่าคืนหนึ่งขณะที่กำลังนอนกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่นั้น ก็เห็นยายมานอนลูบหัวแม่ ส่วนปันเองมันจะชอบมองเห็นคนแก่ที่หางตา ซึ่งมีลักษณะที่คล้ายเหมือนยายมันเป็นแบบนี้อยู่บ่อยๆ แต่พอผ่านไประยะหนึ่งแล้ว ยายคงจะหมดห่วง ทุกคนก็ไม่เคยเห็นยายมาหาอีกและในที่สุดปันก็เห็นยายกำลังยิ้มให้แล้วบอกว่า ไปแล้วนะ หลังจากนั้นก็ไม่เคยหันมาอีกเลย โดยปันและแม่เชื่อว่ายายคงไม่เกิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเรื่องก็มีเพียงเท่านี้ครับขอขอบคุณผู้ที่มาอ่านทุกท่าน
ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น