วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สระว่ายน้ำของหมู่บ้าน !!

                  

                ปกติแล้วเป็นคนชอบว่ายน้ำตอนกลางคืนอยู่แล้วเพราะว่าไม่มีแดด และคนไม่ค่อยมีวันนั้นเราก็ปั่นจักรยานจากบ้านไปถึงสระว่ายน้ำเวลาประมาณ 2 ทุ่ม พอถึงที่หมายกำลังจะจอดจักรยาน มองเข้าไปในสระก็เห็นแขนคน พลุดๆโพล่ๆอยู่ในน้ำเราก็อุ่นในว่ามีคนไว้น้ำเป็นเพื่อน พอจอดจักรยานเสร็จเราก็เดินเรียบด้านยาวของสระเข้าไปที่โต๊ะเพื่อนที่จะวางข้าวของพวก ผ้าขนหนู ชึ่งขออธิบายลักษณะส่วนกลางของหมู่บ้านสักนิด ก็คือจะเดินตรงเข้ามาในส่วนกลางซ้ายมือจะเป็นสระว่ายน้ำเป็นรูปสี่เหลี่ยนพื้นผ้า มีด้านกว้างและด้านยาวมีสระเด็กน้อยอยู่ติดกับด้านกว้างด้านหนึ่ง ก็คือเดินเข้ามาก็จะเห็นสระเด็กก่อน แล้วก็จะเป็นสระผู้ใหญ่ทอดยาวไป ส่วนด้านขวามือจะเป็นฟิตเนสซึ่งจะเป็นกระจกหมดเลย ส่วนสระน้ำสามด้านที่เหลือจะเป็นต้นไม้ล้อมรอบ และจะมีทางขึ้นสระเพียง 2 จุด ห่างกันระยะหนึ่งตามแนวด้านยาวฝั่งขวา พอวางของเสร็จอยู่ดีๆก็มีลมพัดมา เป็นลมแบบลมหนาว เราก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรก็เห็นว่าช่วงนี้เริ่มร้อน ตอนดึกลมก็พัดแรงอะไรประมานนี้ หลังจากนั้นก็ลงสระไปว่ายน้ำไปกลับตามแนวด้านยาวฝั่งขวาไปเลื่อยๆ พี่ผู้ชายที่มาว่ายอยู่ก่อนหน้านี้ ก็ได้ยืดแนวด้านซ้ายไป ต่างคนต่างไหว้ ลมก็หลับพัดเบาบ้างแรงบ้างต้นไม้สูงรอบๆสระก็พัดไปมาตามแรงลม บรรยากาศในตอนนั้นเหมือนกับหนังผีมาก แต่จุดประสงค์ของเราคือมาออกกำลังกาย ตอนนั้นใจมันเลยไม่ได้คิดเรื่องอะไรแบบนี้กางเกงที่ใส่ไปว่ายน้ำในวันนั้นเป็นกางเกงขาสั้น ด้วยกางเกงนี้เคยใส่เอาไปซื้อของอยู่เป็นประจำจึงมีแบงค์ร้อยแบงค์ยี่สิบอยู่ในกระเป๋าดันลืมเอาออกพอลงน้ำปุ๊บแบงค์ร้อยลอยขึ้นมาเพียบ เราก็ไล่เก็บพอเก็บครบก็จะเอาขึ้นไปไว้บนโต๊ะ ด้วยความที่ขี้เกียจเดินขึ้นบรรไดก็เลยดันตัวเองขึ้นจากขอบสระ ในจังหวะที่กำลังดันตัวเองขึ้นจากน้ำก้มลงไปมองตรงตะแกรงที่อยู่รอบขอบสระเพียงแค่เสี้ยววิในตอนนั้นมันเหมือนเห็นลูกตาใครก็ไม่รู้มองจ้องแบบน่ากลัวมากๆ ย้อนขึ้นมาจากข้างในตะแกรง ด้วยความที่วันไวมากเพราะเราแค่ชันตัวเองขึ้นมาจากสระภาพที่เห็นมันก็เลยติดอยู่ในหัวแบบเบลอๆ โดยไม่รู้ว่าของจริงหรือตาฟาด ลมก็พัดแรงขึ้นแรงขึ้น จนเริ่มหนาวก็เลยรีบวางแบงค์แล้วเอาผ้าขนหนูพับแบงค์ไว้ แล้วรีบลงสระทันที พยายามไม่คิดอะไรพอว่ายไปสักพักเราก็เริ่มเหนื่อยเลยมาพิงขอบสระด้านกว้าง พี่ผู้ชายก็ยังว่ายไปมามีพักบ้านสลับกันไป ส่วนเราพอเริ่มหายเหนื่อยก็ว่ายต่อว่ายไปว่ายกลับอยู่ 3-4 เที่ยวซึ่งมันจะต้องผ่านบรรไดลงสระ 2 อันตอนแรกก็ไหว้ผ่านไปเฉยๆไม่มีอะไร จนอยู่ดีๆเริ่มรู้สึกว่าน้ำรอบๆตัวมันเย็นขึ้นเย็นจนผิดสังเกตุ แล้วเป็นจังหวะเดียวกับที่ผ่านบรรไดอันแรกพอดี ตอนนั้นเองสายตาดันไปเห็นเท้าใครก็ไม่รู้ห้อยลงมาในสระ ตอนคือนั้นด้วยความที่เราไหว้น้ำอยู่สมาธิอะไรมันก็โฟกัสไปอยู่ที่การตีขาการเหวี่ยงแขน และมันเป็นเพียงแค่ช่วงวินาทีเดียวเราก็คิดในใจขึ้นมาว่าเห็นอะไรแปลกๆแค่นั้น แต่ตอนนั้นก็ยังคงว่ายน้ำต่อไป จนกำลังจะผ่านบรรไดอันที่ 2 เท่านั้นแหละอันนี้คือชัดมากๆ เพราะเราเห็นก่อนระยะการมองคือข้างหน้าเลยไม่ใช้หางตาแล้ว เห็นเป็นขาคนขาวๆซีดๆ มีเนื้อยุ่ยๆคิดภาพการเปลื่อยการเน่าในน้ำออกไหมแบบนั้นเลย ตอนนั้นก็ตกใจสะดุดขึ้นมาจากน้ำเลย ตกใจจริงๆน้ำในสระมันก็ไม่ได้ใสมากไฟในน้ำก็ไม่ได้สวางอะไรมากมาย อยู่ดีดีก็เจอขา แล้วพี่ผู้ชายที่ตอนแรกว่ายอยู่อีกด้านหนึ่ง เค้ากำลังจะเตรียมตัวที่จะขึ้นพอดีเค้าก็เลยมาอยู่ตรงบรรไดอันแรก เค้าก็ตกใจเพราะเห็นเราพรวดขึ้นมาจากน้ำก็เลยถามว่าน้องเป็นอะไรหรือป่าว เราที่อยู่ในอาการตกใจก็สายหัวพูดติดๆขัดๆสำลักน้ำแล้วบอกไปว่าไม่เป็นอะไร เค้าก็บอกว่า ดึกแล้วไม่กลับบ้านหรอ เราที่ตอนแรกจะว่ายต่ออีกหน่อยก็ตัดสินใจกลับเลยดีกว่าบรรยากาศมันไม่น่าอยู่แล้ว ตอนนั้นก็ใจไม่ดีมากๆเราไม่ได้กลัวแต่ไม่ชอบอะไรแบบนี้ มันเป็นอะไรที่อธิบายไม่ได้ มีอยู่จริงหรือคิดไปเองก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าเราเห็นแบบนี้แล้วมันคืออะไร ในตอนนั้นก็เลยตัดสินใจที่จะขึ้นสระพร้อมพี่เค้า พี่ผู้ชายที่ขึ้นมาก่อนเค้าล้างตัวอะไรเสร็จเขาก็เดินกลับไป เหลือเราคนเดียวพอล้างตัวแล้วก็เดินกลับมาเอาของที่โต๊ะ หยิบโทรศัพท์ หยิบผ้าขนหนูเสร็จกำลังหมุนตัวที่จะเดินออก "ลมก็พัดมาวู๊บใหญ่" ตอนนั้นรู้สึกอึดอัดมากๆทั้งที่อยู่คนเดียว เหมือนกับมีสายตาใครก็ไม่รู้จ้องมองเราอยู่ตลอด เหมือนมองมารอบทิศ ขาก็รีบเดินออกไป พอถึงจักรยานกำลังจะนั่งค้อม ลมก็พัดมาอีกวู๊บหนึ่ง พร้อมกับเสียงหวิวๆของใบไม้ และด้วยเสียงที่มันเงียบ เราได้ยินเสียงๆหนึ่งลอยมาตามลมเป็นเสียงที่ฝังผ่านๆก็คลายกับเสียงลงนั้นแหละ แต่ถ้าฟังดีๆมันคล้ายกับเสียงคนคุยกันเป็นเสียงแบบซุ๊บซิบของคนเยอๆโทรต่ำๆลอยมาตามลม พอลมแรงขึ้นเสียงก็ยิ่งชัดดังขึ้นเขาไปใหญ่ เท่านั้นแหละรีบขึ้นจักรยานแล้วปั่นออกไปในทันทีความรู้สึกเหมือนมีคนจ้องก็ไล่หลังมาตลอดมันอึดอัดมากๆ แล้วก็ปั่นจักรยานเลี้ยวเข้าซอยและถึงบ้านอย่างปลอดภัย

                    เข้าบ้านอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากดโทรศัพท์ดูตอนนั้นเวลา 3 ทุ่มนิดๆเราก็พยายามไม่นึกถึงเรื่องที่ไปเจอมาก็นอนเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยๆสักพักดันนึกขึ้นได้ว่าเราลืมเงินที่ลืมเอาไว้บนโต๊ะนี่น่ะ ตอนหยิบมาก็หยิบแต่ผ้าขนหนูมา ลืมไปว่ามีแบงค์ร้อยแบงค์ยี่สิบอยู่ด้านล่างด้วยรวมๆกันแล้วนะจะประมาณ 300 กว่าบาท ด้วยความที่ขี้งกแล้วกลัวว่าไปพรุ่งนี้เงินเราคงไม่อยู่แล้ว ก็คิดอยู่ช่วงหนึ่งว่าจะไปหรือไม่ไปดี เพราะถ้าไปก็แอบกลัวอยู่พอสมควรเพราะเมื่อกี้เจออะไรมาก็ไม่รู้แต่เงินก็เสียดาย ก็เลยคิดว่ารีบไปรีบเข้าไปหยิบเงินแล้วรีบออกมาดีกว่าไม่น่าจะเป็นอะไรก็เลยตัดสินใจกลับไปที่สระอีกครั้ง หลังจากที่ตัดสินใจไปแล้วก็ปั่นออกมาเช่นเคย อันที่จริงจากบ้านของเราไปที่สระก็ไม่ได้ไกลนักแต่เราขี้เกียจเดินเท่านั้นเอง เลี้ยวออกมาจากซอยบ้านปุ๊บมองตรงไปก็เห็นสระน้ำอยู่ไม่ไกล พอปั่นเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ลมก็พัดมาอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือป้าว แต่ตอนปั่นจักรยานมาจากบ้านลมนิ่งมากแต่ทำไมต้องมาพัดแรงตรงถึงสระน้ำพอดีก็ไม่รู้แล้วหมู่บ้านเราก็แปลกไฟน้อยมาก พอมืดก็มืดเลยไฟสองข้างทางก็มีระยะห่างที่ค่อนข้างไกล ทำให้เหมือนจะมีแสงสว่างเป็นย่อมๆ ตามทางปกติใต้เสาไฟที่ตรงข้ามกลับส่วนกลางหมู่บ้านจะมีโต๊ะให้พี่ยามนั่งเพื่อตรวจความเรียบร้อย ตอนก่อนออกจากบ้านเราคิดในใจว่าเดียวพอถึงสระให้พี่ยามเปิดไฟฉายแล้วไปหยิบเงินเป็นเพื่อนพอถึงปุ๊บเหลือแต่เก้าอี้ว่างๆ ก็เลยยืนคิดอีกรอบว่าจะเข้าไปดีไหมกลัวก็กลัวแต่มาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดก็เลยจอดจักรยานแล้วเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือแล้วก็เดินเข้าไปในสระว่ายน้ำตอนนั้นลมนิ่งมาก แต่มีเสียงใบไม้และต้นไม้พัดหวิวๆ อยู่ตลอดก็ทำใจนิ่งๆ ไฟในสระน้ำก็ปิดหมดแล้ว ในน้ำนีมึดมากๆเราก็เดินเข้าไปเลื่อยๆ จนถึงโต๊ะตัวที่วางของเอาไว้แล้วเอาไฟฉายส่องหาแบงค์ที่ลืมไว้จนเจอว่ามันปลิวหลนอยู่ใต้โต๊ะ ก็เก็บจนเหลือใบสุดท้ายกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบอยู่ดีๆความรู้สึกอึดอัดรู้สึกมีคนจ่องมองจากรอบๆทิศก็กลับมามือที่กำลังจะเอื้อมก็หยุดทันที เราก็ไม่รู้ว่าปกติอาการของคนเจอผีนั้นเป็นอย่างไร อาจจะขนลุกหรือขาแข็ง แต่ของเรารู้สึกเหมือนจะร้องไห้ ส่วนตัวแล้วไม่ชอบเพราะว่าไม่มีเหตุผลมาอธิบายได้ว่าผีมีอยู่จริงหรือไม่ เพราะมันอธิบายไม่ได้เราก็เลยไม่ชอบและไม่อยากเจอ พอเราตั้งสติได้ก็เอื้อมไปหยิบแบงค์ใบสุดท้ายอย่างไวที่สุดแล้วลุกขึ้นยืนจังหวะที่ลุกขึ้นยืนหางตาบวกกับความรู้สึกมันเหมือนเห็นเป็นคนนั่งอยู่ตามกิ่งก้านของต้นไม้ในลักษณะต่างๆเราก็ไม่กล้าที่จะหันไปมองที่ต้นไม้มันจะเป็นภาพที่เราเห็นแบบหางตาเห็นเป็นมุมกว้างๆ ว่าต้นไม้แต่ละต้นมีบางคนเกาะอยู่ บางคนต้นก็เป็นคนนั่งห้อยขาลงมา จากที่เรารู้สึกเหมือนว่าเราจะร้องไห้และน้ำตาก็ไหลออกมาก หลังจากนั้นเราก็รีบหมุนตัวแล้วจะเดินออก พอหันกลับไปเท่านั้นแหละ "ก็เห็นเป็นรอยเท้าที่เปียกน้ำ" ของใครก็ไม่รู้ลักษณะการเดินคือ "เดินเข้ามาหาเรา" แบบเบี้ยวไปเบี้ยวมา ไม่ได้เดินตรงๆแล้วรอยเท้าที่ว่าก็ห่างกันประมาณเมตรกว่าๆ ซึ่งไม่น่าใช่การก้าวขาที่คนปกติเค้าทำกัน แล้วถ้าเป็นเป็นรอยของเรา ทำไมส่วนอื่นถึงแห้งไปแล้วเหลือแต่รอยนี้เปิดทางยาว ในตอนนั้นมันอธิบายไม่ได้จริงๆ เราก็เลยเดินสวนรอยนั้นออกไป และสิ่งที่บอกเอาไว้ตอนแรก ว่าตรงข้ามสระว่ายน้ำจะเป็นฟิสเน็ตที่เป็นกระจกรอบข้างล้อมรอบ จังหวะที่เรากำลังเดินออก ก็มองตรงไปข้างหน้ากระจกมันก็สะท้อนให้เห็นถึงผู้ชายคนหนึ่งที่ใส่ชุดว่ายน้ำ เหมือนตอนที่เรามาว่ายน้ำเมื่อตอนหัวค่ำยืนอยู่ตรงจุดที่เราเดินออกมา แล้วทำไมเราถึงไม่เห็นเค้าในตอนแรกหลังจากที่กำลังจะเดินออกอยู่ดีๆเราก็หยุดเองโดยอัตโนมัติตาก็จ้องไปที่กระจกทั้งๆที่ใจออกจะออกไปจากตรงนั้น แต่จู่ๆก็ได้ยินเสียงเหมือนตอนแรกคือ "ดึกแล้วนะไม่กลับบ้านหรอ" ได้ยินมาจากข้างหลังตอนนั้นคิดได้เองแล้วเดินแบบไม่มีสติจนมาถึงตรงที่พี่ยามนั่งอยู่เราก็เติมแบบไม่รู้สึกตัวจนพี่ยามเรียก น้องๆ ลืมจักรยาน คนพี่ยามมาซะกิดที่ตัวอีกทีก็รู้สึกตัว แล้วพี่ยามแกก็ถามแล้วหนูเดินมาจากไหนทำไมพี่ไม่เห็นพอดีลืมของไว้ที่สระครับเลยกลับมาเอา พอรู้เขาพี่ยามก็ตกใจ แล้วพี่ยามก็บอกว่าวันหลังอยากเข้าไปคนเดียวนะ เพราะมันเคยมีจู่ๆพี่แกก็หยุดพูดไป เหมือนกับพึ่งรู้ว่าไม่ควรพูดเรื่องนี้ แล้วพี่แกก็เลือกที่จะเล่าเพราะเจอมาแล้ว พี่แกก็เล่าว่า ตอนสร้างฝ่ายนิติบุคคลไม่ค่อยมาดูแลพวกคนงานก็ทำงานกันเละเทะตั้งวงกินเหล้าบ้าง มีอยู่วันหนึ่งคนงานเกิดทะเลาะกันถึงกับขั้นลงไม้ลงมือ ถึงมีคนตกลงไปในสระจนหัวกระแทกสระตาย และเรื่องก็มีเท่านี้ครับขอขอบคุณผู้ที่มาอ่านทุกท่าน

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

งานศพหลาน!!

           เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณป้าของเราเล่าให้ฟังอีกทีค่ะ ย้อนกลับไปประมาณ 20 ปีก่อน ลุงกับป้าได้ข่าวว่าหลานชายเสียชีวิตที่จังหวัดส...