เรื่องเกิดเมื่อ 25 ปีที่แล้วในตอนนั้นคุณโอ๋ยังเป็นเด็กอยู่แล้วเอาไปฝากเอาไว้กับคุณปู่คุณย่าเพื่อช่วยเลี้ยงดูตั้งแต่ยังเล็ก ส่วนน้องชายคุณพ่อและคุณแม่จะเป็นคนเลี้ยงดูเองเป็นธรรมดาที่คุณโอ๋นั้นจะต้องคิดถึงบ้าน แต่จะมีโอกาสที่จะได้เจอกันก็ต่อเมื่อปิดเทอม และเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นเมื่อที่คุณโอ๋กำลังปิดเทอม คุณโอ๋จะต้องไปนอนค้างที่บ้านคุณพ่อและคุณแม่ ทุกๆเช้าคุณโอ๋และน้องชายก็จะแอบมานั่งวางแผนกันว่าจะเล่นอะไรกันดี สาเหตุที่ต้องมาแอบเล่นกันนั้นก็เพราะว่าคุณแม่จะไม่ยอมให้พาน้องออกไปเล่นที่ไหนไกลๆ นอกจากบริเวรโดยรอบนั้นจะเป็นสวนแล้วก็จะเป็นท้องร่องที่เอาไว้ปลูกผักบุ้ง เป็นของเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ในระแวงให้ลๆกัน คุณโอ๋กับน้องชายก็ได้ตกลงกันว่าจะไปจับปลาห่างนกยูงเล่นกัน สองพี่น้องก็เลยพากันชวนเพื่อนบ้านแถวๆนั้นที่สนิทไปกับอีก 2 คน และในขณะที่เด็กๆทั้งกลุ่มกำลังดักช้อนปลาอย่างสนุกสนานก็มีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันที่ไม่มีใครคุ้นหน้ามาก่อนมาขอเล่นด้วย เด็กคนนั้นได้แนะนำตัวว่า ตัวเค้าเองชื่อว่าต้น ซึ่งตามภาษาเด็กๆการมีเพื่อนใหม่ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี เด็กๆทั้งหมดจึงรวมกลุ่มจับปลากันอย่างสนุกสนาน จู่ๆต้นก็บ่นขึ้นมาว่าปลากัดหายไปไหนหมด ก่อนที่จะมาเจอกันพวกนายเรายังได้มาตั้ง 3 ตัว แล้วต้นก็เปิดกระป๋องนมให้เพื่อนๆดู ข้างในนั้นมีปลากัดอยู่ประมาณ 2-3 ตัว แล้วพูดต่ออีกว่า เอาไปปล่อยไว้ที่บ้านอีก 10 กว่าตัวแล้ว พวกเพื่อนๆรวมทั้งคุณโอ๋ต่างไม่มีใครเชื่อ เพราะปลากัดจะมาอยู่แถวนี้ได้ยังไง แล้วต้นก็พูดว่างั้นเราจะพาไปดูที่บ้านก็ได้ ถ้าเกิดไใาเชื่อจะแบ่งให้คนละตัว หลังจากนั้นทุกคนก็ได้เดินลัดสวนออกมาจนมาถึงคลองใหญ่ ต้นชี้ข้ามไปฝั่งตรงข้ามแล้วบอกว่า สังกะสีกันรั้วนั้นแหละหลังบ้านเราเอง มาสิอากงของเราไม่ว่าหรอก คุณโอ๋และน้องชายรวมไปถึงเพื่อนอีกสองคนหันหน้าเค้าปรึกษากัน แต่ยังไม่ทันได้คุยกันรู้เรื่อง พอหันกลับไปมองเห็นต้นไปยืนอีกฝั่งของคลองแล้ว แทบไม่น่าเชื่อทางปูนที่แนวอยู่บนคลองความกว้างเพียงไม้บรรทัดครึ่ง และความกว้างของคลองเกือย 15 เมตร ทำไมต้นถึงได้ข้ามไปเร็วมาก คุณโอ๋ก็เลยเก็บความสงสัยนี้ไว้ก่อน ต้นก็เลยตะโกนถามกลับมาว่า "ตกลงว่าไง" พวกนายจะมาเอาปลากันไหม ด้วยความที่อยากได้ปลากันคุณโอ๋จึงรีบข้ามไปทันทีจนถึงอีกฝั่ง แต่กลับไม่มีใครเดินตามคุณโอ๋ไปเลย เอาแต่ยืนจดๆจ่องๆอยู่แต่ที่เดิม อาจจะกลัวว่ามีคนเอาเรื่องไปฟ้องที่บ้านเพราะว่าการเดินข้ามคลองในลักษณะนี้ มันค่อนข้างอันตรายมากๆสำหรับเด็ก เพราะว่าถ้าพลาดแม้แต่นิดเดียวอาจถึงแก่ชีวิตได้ คุณโอ๋จึงตัดสินใจบอกทุกคนว่ารออยู่ตรงนั้นแหละดูแลน้องเราให้ด้วย เดียวจะเอาปลากัดเอากลับไปให้เอง เพื่อนทั้งสองก็ตกลงตามนั้น หลังจากนั้นต้นเดินเข้าไปแล้วอ้าแผ่นสังกะสีจึงพอที่จะมุดตัวเข้าไปได้ แล้วคุณโอ๋ก็มุดตามเข้าไป บ้านของต้นเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ทรงคล้ายๆกับอาการโรงเรียน และมีขนาดใหญ่พอสมควร ทั้งคู่เดินไปจนถึงหน้าบ้าน คุณโอ๋สังเกตว่าต้นนั้นแสดงท่าทางดีใจกว่าผิดปกติ เหมือนกำลังดีใจเป็นอย่างมาก ที่ได้มีเพื่อนมาเที่ยวที่บ้านต้นวิ่งนำขึ้นบรรไดไปยังชั้น 2 อย่างรวดเร็ว จนคุณโอ๋มองตามแถบไม่ทัน หลังจากนั้นคุณต้นก็ได้ตะโกนบอกคุณโอ๋ให้เดินตามมาเร็วๆ หลังจากนั้นต้นก็ได้หันไปบอกอากงว่า กงวันนี้ต้นพาเพื่อมาเล่นที่บ้านด้วย ในขณะที่คุณโอ๋กำลังจะก้าวขาแรกที่ขั้นบรรได แต่กลับต้องหยุดชะงัก เพราะว่าได้ยินเสียงๆหนึ่งว่า "เพี้ย!! แล้วตามด้วยเสียคนแก่ตะคอกว่า ลื้อไปบอกให้มันออกไป" คุณโอ๋คิดว่าต้นคงจะโดนตีแน่ๆ จึงตะโกนอยู่ที่หน้าบ้านว่า "เรากลับก่อนนะต้น" สายตาก็ดันไปเห็นกับ ฝุ่นผงที่อยู่เต็มหน้าบรรไดหน่าแตอะ ถึงแม้ว่าคุณโอ๋จะเป็นเด็กแต่ก็รู้ว่านี้เป็นบ้านที่มีคนอยู่หรอว่าบ้านร้าง พอคุณโอ๋ได้คิดเช่นนั้น ก็ทำให้ขนลุกตั้งชาไปทั้งตัว ขณะนั้นได้มีลมพัดต้นไม้ใหญ่ใกล้บ้านเสียงดัง "ซ่า ซ่า ซ่า" มีลมเย็นๆเข้ามาปะทะตัวเป็นระรอบระรอบ ทำให้คุณโอ๋จิตหลุดพอสมควร คุณโอ๋รีบเดินกลับไปทางเดิมทันที โดยที่ยังก้มหน้าอยู่พยายามหาแผ่นสังกะสีที่สามารถเปิดออกได้ แต่ไม่ว่าจะเปิดแผ่นไหนก็ไม่สามารถอ้าแล้วออกไปได้เลย ระหว่างที่กำลังวุ่นอยู่กับการหาทางออกนั้น เสียงขอต้นก็ได้ตะโกงลงมาจากตัวบ้านว่า "ไม่ต้องกลับไปแล้วอยู่เล่นกับเราที่นี้เถอะ" ในตอนนั้นคุณโอ๋เลือกที่จะหันกลับไปมองที่ตัวบ้านก็ได้เห็นกับตัวบ้านที่ผิดไปจากเดิม ไม้บางๆแผ่นฝาบ้านผุพัง จนมองเห็นเป็นรูดำๆ เป็นคราบสีเทาขึ้นเกาะเป็นจุดๆ หน้าต่างบางแผ่นห้อยพับลงมาที่พร้อมจะหลุดได้ทุกเมื่อ โอ๋พยายามมองสอดส่องจนทั่วแต่กลับไม่พบตัวของต้นเริ่มทำให้โอ๋แน่ใจได้ทุกทีว่าต้นนั้นไม่ใช้คนแน่นอน แต่ก็คิดในใจว่านี้ก็พึ่งจะเที่ยงวันผีที่ไหนจะออกมาหลอกกันกลางวันแสกๆ แต่อย่างไรสะก็ต้องออกไปจากที่นี้ให้ได้ก่อน ในเมื่อหามุดออกไปทางหลังบ้านไม่ได้ก็คิดว่าจะลองวิ่งไปทางรั้วหน้าบ้านดูละหน่อย ระหว่างนั้นหลับมีเสียงร้องไห้สะอืดสะอื้นของต้นก็เริ่มดังขึ้นที่ชั้น 2 ของตัวบ้านเสียงนั้นดังไปทั่วบริเวรของบ้าน สลับกับเสียงร้องของคุณโอ๋ที่มีประโชคซ้ำๆว่า "อยู่กับเรา อย่าไป เราอยู่คนเดียว" คุณโอ๋คิดว่าถ้าช้ากว่านี้นั้นไม่ดีแน่ๆ รีบพุงตัวเราะกำแพงสังกะสีของบ้านไปให้ถึงประตูรั้วหน้าบ้าให้เร็วที่สุด โอ๋ได้ยินเสียงร้องสะอื้นในลำคอเบาๆ รู้สึกถึงความกลัวสุดขีด จนมาถึงอีกฝั่งของบ้านเสียงเรียกของต้นยังดังออกมาจากบ้านที่มึดทึบ โอ๋มองไปตามรั้วบ้านก็ต้องเข่าทรุดทันทีเพราะว่ารั้วทางฝั่งนี้ก็ไม่มีประตูเช่นกัน เป็นรั้วสังกะสีเก่าๆที่พันไว้ด้วยต้นตำลึงเป็นพุ่มหน่า โอ๋ตัดสินใจเหยียบไม้โครงยึดสังกะสีปีข้ามไปอีกฝั่งแล้วกระโดดลงพื้น พอเท้านั้นได้ลงถึงพื้นกับได้ยินเสียงของต้นดังขึ้นอีกฝั่งของกำแพงสังกะสี เหมือนกับว่าต้นมายืนร้องเรียกอยู่ข้างกำแพงทำให้โอ๋พวา ถอยจนเกือบจะเสียหลักแต่ในใจก็เป็นห่วงน้องเช่นกัน จึงรีบวิ่งอ้อมไปยังอีกฝั่งจนถึงจุดที่น้องชายและเพื่อนๆ ยืนรออยู่แต่ก็ต้องตกใจเพราะไม่เห็นใครยืนรออยู่เลยแม้แต่คนเดียวจึงตัดสินใจวิ่งไปหาบ้านเพื่อน ด้วยใจที่ร้อนรนจนไปถึงหน้าบ้านโอ๋ร้องตะโกนสุดเสียงเรียกเพื่อนจนเพื่อนเดินลงมาจากบ้าน ก็ได้ถามเพื่อนว่าน้องชายของคนเองอยู่ไหน เพื่อนก็บอกว่าเดินไปส่งที่บ้านตั้งนานแล้ว เป็นคำตอบที่ทำให้โอ๋โล่งอกโล่งใจ เพื่อนบอกว่าเห็นโอ๋หายไปนานถึงพากันแยกย้ายกลับบ้านก่อน หลังจากนั้นอีกสองวันเพื่อนของคุณแม่มาหาที่บ้านแล้วก็พูดกันถึงเรื่องนี้ เล่ากันไปเล่ากันมาได้ความว่า เดิมทีบ้านหลังที่ล้อมรั้วสังกะสีนั้น เคยมีปู่อาศัยอยู่กับหลานเพียงสองคน แต่ปู่ได้เอายาฆ่าแมลงให้หลานกินก่อนที่จะผูกคอตายตามหลานไปเพื่อหนีหนี้สิน ก่อนที่จะมีคนมาพบศพก็เกือบจะครบเดือน เพราะคนที่สัญจรผ่านไปผ่านมากลับได้กลิ่นเน่าโชยออกมาจากตัวบ้าน และนี้ก็เป็นเรื่องราวทั้งหมดมีเพียงเท่านี้ครับขอขอบคุณผู้ที่มาอ่านทุกท่าน
ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น