วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2561

วิญญาณกับคราบน้ำตา และการจากลาที่พัทลุง !!


             พ.ศ.2554  ดิฉันเข้าเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนสตรีพัทลุง ดิฉันทุ่มเทกับการเรียนค่อนข้างมาก   เพราะโรงเรียนระดับจังหวัดมีการแข่งขันค่อนข้างสูง แต่ดิฉันก็มีผู้ชายมาติดพันในช่วงนั้นหลายคน  ตั้งแต่เด็กผู้ชายในโรงเรียนสตรีพัทลุงเอง  หรือจากวิทยาลัยเทคนิคพัทลุงที่อยู่ติดกัน วิทยาลัยสารพัดช่าง และโรงเรียนพัทลุงเองก็มา  แต่ดิฉันก็ไม่เคยคิดจะมีแฟนในช่วงนั้นใดๆ  ถึงจะมีคนที่ตรงใจถูกใจมาจีบบ้าง  แต่อย่างมากก็แค่คุย  และตอบรับไมตรีด้วยการไปเที่ยว  ไปดูหนัง  หรือร้องคาราโอเกะ  แต่มีข้อแม้คือ  ดิฉันจะมีเพื่อนสองคนติดสอยห้อยตามไปด้วยตลอด ไม่งั้นดิฉันไม่ยอมไป ความที่ดิฉัน ไม่คิดจะคบใครเป็นแฟนแบบจริงจัง  เพราะเป็นความหวังคนเดียวของครอบครัวที่จะเรียนให้สูง  เพราะพี่ชายทั้ง2คนของดิฉัน  ก็เรียนจบแค่  ปวช.และ ม.6 ก็ไมได้เรียนต่อ เพราะชิงมีเมียเสียก่อน ดิฉันเลยอดกลั้นความรู้สึกที่อยากจะมีแฟนเหมือนคนอื่นๆ  ม.4 ผ่านไปขึ้น ม.5 พ.ศ.2555 ดิฉันเริ่มแก่วิชา  และคุ้นเคยกับสถานที่ในเมืองพัทลุง   พอมีเวลาว่าง  เช่นเรียนครึ่งวัน  หรือทำกิจกรรมอะไรที่ทางโรงเรียนให้ไปร่วมกันทำเสร็จ  เวลาที่เหลือ มันก็คือเวลาเที่ยวของพวกเราชาวน้ำเงิน-ขาว  หลักๆเลยก็คือห้างโคลีเซี่ยม  ดูหนัง  ร้องคาราโอเกะ  เพราะมีแอร์มันเย็นดี  และตั้งแต่ดิฉันอยู่โรงเรียนสตรี  ก็กินฟรีเที่ยวฟรีตลอด เพราะมีผู้ชายขอพาไปเลี้ยง  แลกกับการได้อยู่ใกล้ดิฉันในฐานะเพื่อน   จริงๆดิฉันก็ไม่อยากจะทำแบบนั้น  แต่เพื่อนดิฉันสองคนสมมุติว่าชื่อ   โบว์ และผัก   จะเป็นคนที่ชอบยุแหย่และใช้ดิฉันเป็นเครื่องมือในการให้ผู้ชายพาไปเลี้ยงไอติม  หนัง  คาราโอเกะ  เพราะถ้าจะขอพาดิฉันไปเที่ยว  ก็ต้องแพ๊ค3 เสมอ  พูดง่ายๆคือโบว์และผัก หลอกรับประทานนั่นเอง แม้ดิฉันจะไม่เต็มใจ  แต่ก็ไม่อยากขัดเพื่อน  เลยปล่อยเลยตามเลย  อีกทั้งบรรดาผู้ชายเหล่านั้นก็ดูจะมีความสุข  ที่ได้ไปไหนมาไหนกับดิฉันและเพื่อนสาวอีก2คน  เพราะโบว์และผักเองก็จัดว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน  สวยน้อยกว่า แต่ความแรงนั้นเยอะกว่าดิฉันเป็นกระบุง  ภาษาทางการ..บ้านดิฉันคือ อ้อร้อ นั่นเอง  เป็นผู้หญิงที่มีลูกล่อลูกชนสูงในด้านการหลอกรับประทานหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่เสมอมา ผัก เป็นคนบ้านลำปำ  ที่อยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภอเมือง  เลยขับมอเตอร์ไซค์มาโรงเรียน  ผิดกับดิฉันและโบว์ ที่เป็นเด็กต่างอำเภอ  เลยนั่งรถ2แถวมาเรียน  ฉันเป็นคนป่าพะยอม  โบว์เป็นสาวกงหรา   เราเลยได้อาศัยรถของผักไปไหนมาไหนตลอด3ปีที่เรียนที่นั่น  นอกจากห้างโคลีเซี่ยมแล้ว  อีก2ที่  ที่เราชอบไปกันคือ  วัดถ้ำคูหาสวรรค์  ที่เป็นวัดที่มีบันไดขึ้นเขาและมีถ้ำ  ซึ่งอยู่ใกล้ๆโรงเรียน  ดิฉันชอบไปนั่งกันที่นั่นเพราะบรรยากาศเย็นดี  และมีฝูงลิงมาก  ดิฉันชอบซื้อกล้วยไปหยอกลิงเล่นกันค่ะ  อีกที่ก็คือหาดลำปำ  หลายๆคนอาจจะคิดว่า  จังหวัดในภาคใต้ที่ไม่ติดทะเล  คือ พัทลุง และยะลา  แต่จริงๆแล้วพัทลุงมีทะเลนะคะ  แต่เป็นทะเลสาบน้ำจืด   คนพัทลุงก็จะเรียกทะเลสาบนั้นว่า  ทะเลสาบลำปำ  บางคนก็เรียกทะเลสาบพัทลุง  แต่คนสงขลาก็จะเรียกของเขาว่าทะเลสาบสงขลา  เพราะจังหวัดที่มีอาณาเขตติดทะเลสาบนี้ ก็มีแค่ สงขลาและพัทลุง  ซึ่งจนเดี๋ยวนี้ดิฉันเองก็ยังงงๆ ว่าควรเรียกว่าอะไร  หาดลำปำ ก็เป็นหาดที่มีชื่อเสียงของพัทลุงค่ะ  เพราะอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง  แต่เอาจริงๆมันไม่ควรเรียกว่าหาดหรอก  เพราะมันไม่มีชายหาดจริงๆสักหน่อย  น่าจะเรียกว่าจุดพักผ่อนริมน้ำเสียมากกว่า  เคยมีการพยายามเอาทรายมาถมเป็นหาด  แต่ไม่นานก็โดนทะเลกลืนลงไปหมด สูญงบประมาณไปเปล่าๆ   แถมลงเล่นน้ำก็ไม่ได้  ลงไปก็มีสาหร่ายและตะไคร่น้ำ ติดขึ้นมาเต็มตัวเขียวอี๋   แต่คนพัทลุงเขาก็ภูมิใจในหาดนี้นะ  ถ้าไม่นับร้านอาหารที่ราคาแพงๆ  จะไปนั่งชิวๆใต้ต้นสนก็ลมเย็นสบายดี  มีเกาะเทียมเกาะเล็กๆอยู่ด้วยให้เดินข้ามไป และที่ลำปำนี้  ดิฉันชอบไปกับเพื่อน   เพราะอยู่ใกล้ๆบ้านของผัก  และเป็นจุดเริ่มของชะตานำพา  ให้ดิฉันได้มาพบกับ เด็กบ้านๆ  ขี่รถแต่งซิ่ง   เขามาจอดรถที่หาดลำปำกับเพื่อนอีก3คน  แล้วก็พากันมานั่งใกล้ๆพวกเรา3คนที่นั่งกินส้มตำอยู่ก่อนแล้ว  แล้วโบว์กับผัก  ที่สายตาไวในด้านผู้ชาย  ก็พยักหน้าใส่ดิฉัน “มืง  ลูกบ่าว4คนนั้นมองพวกเราแหนะ” ดิฉันหันไปมอง  ก็เลยเห็นว่าพวกเขามองพวกเราจริงๆ  แต่ดิฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย  เพราะพวกเขามีบุคลิกออกไปทางนักเลง  และไม่ได้หล่ออะไร  ดิฉันเลยเบือนหน้าหลบ  แล้วนั่งกินไก่ย่างต่อ  แต่โบว์กับผักนั้น  นางชำเลืองไปมองไม่หยุด แล้วก็เอามาคุยหัวเราะคิกคัก  “กุว่า มันชอบพวกเราสักคนแน่ๆมองจัง”  “แต่งรถด้วย  น่าว่าจะมีตัง” “จะเอาอีกแล้วหรือเมิง”  “ไม่หล่อก็ไซ  ถ้ารวยก็ให้อภัย” ทั้งโบว์และผัก  นางพยายามหันไปมองกลุ่มเด็กชายนั้นแบบอ่อยแรง  แล้วก็ได้ผลจริงๆ  เพราะสักพักนึง  2คนใน4คนนั้นก็พากันเดินมาใกล้ๆ  ด้วยชุดพละสีน้ำเงินของพวกดิฉันมันฟ้องว่า พวกเราอยู่โรงเรียนอะไร  พอเขาเดินมาใกล้ๆ  พวกเขาก็เริ่มทักที “ดีครับเธอ” “ขอนั่งด้วยได้เปล่า “ “นั่งต่ะ”  ผักตอบกลับ พอพวกเขานั่งได้ก็เริ่มพูดจาซักถามทันที “นี่ชื่ออะไรมั่งล่ะ  เรียน ม.ไหนแล้ว บ้านอยู่ไหนมั่งเราชื่อโจ๊กนะ  นี้เพื่อนเราชื่อบ่าว” “เราชื่อโบว์  คนนี้ผัก  คนก้มหน้าอยู่นี้ชื่อหยก  เรียน ม.5แล้ว  เราอยู่กงหรา  ผักนี้คนลำปำนี้และ  หยกนั้นคนป่าพะยอม”  “ม.5 เหอ  อ่ะรุ่นเดียวกันเลย   เราอายุ17ปีเหมือนกัน  เรียน กศน.แต่ว่า” “ว่าแต่หยกมีแฟนแล้วหม้ายล่ะ” ดิฉันถึงกับสะดุ้ง  เมื่อถูกคนชื่อโจ๊ก  ตั้งใจมาถามแบบนั้นทั้งๆที่นั่งกัน3คน  ก่อนจะตอบไปแบบนางเอกหนังไทยที่เรียบร้อยว่า   “ไม่มีค่ะ” “เราคนควนขนุน  ไม่ไกลกันเลย   จะว่าอะไรไม๊  ถ้าจะขอเบอร์ เผื่อได้ไปเที่ยวกันมั่ง” ดิฉันมองหน้าผักกับโบว์  เพราะไม่สะดวกที่จะให้เบอร์โทร  เพราะกลัวพ่อรู้  จริงๆดิฉันก็มีโทรศัพท์  เลยอ้างบอกไปว่า  “เราไม่มีโทรศัพท์หรอก  บ้านอยู่ในป่าโทรไม่ติด”  “อ่ะละ  ทำไงดี  เราเห็นเธอก็ตกหลุมรักเลยนิ  ถึงเข้ามาคุย  มีทางติดต่อมั่งไม๊ล่ะ” แต่ใจดิฉันไม่รู้สึกชอบโจ๊กเลย  อาจจะเพราะดิฉันชอบคนยากอยู่แล้ว  บวกกับโจ๊กเป็นผู้ชายแนวที่ดิฉันไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่คือออกไปทางนักเลง เด็กแว้นซ์  ผิวคล้ำ หยาบกร้าน  มีรอยแผลเป็นหลายแห่ง  จริงๆดิฉัน  ไม่ได้ต้องการสานสัมพันธ์ใดๆกับเขาสักนิด   แต่เพราะทองเส้นโตๆมันล่อใจ  เลยทำให้โบว์เสนอหน้าให้เบอร์ตัวเองไป  ดิฉันก็รู้อยู่ในใจแล้วว่า  โบว์ คิดจะหลอกรับประทานโจ๊กแน่ๆ พอดิฉันต้องกลับบ้าน  ผัก ขับมอเตอร์ไซค์ซ้อนพวกเรา  เพื่อจะมาส่งที่คิวรถสองแถวในตัวเมืองพัทลุง  พอเราออกตัวมา  พวกของโจ๊ก  ก็พากันขับรถตามเรามา 4 คน  2 คัน  เสียงท่อรถพวกเขาดังมาก  จนดิฉันรำคาญ  แล้วก็ขับตามแซวในเชิงจีบดิฉันที่นั่งกลางตลอดทาง  ดิฉันก็ยิ้มให้แบบเจื่อนๆ  โจ๊กก็เอาไปดีใจตะโกนดังลั่นว่า  “ไอ๊ย๊ะ ว่าที่แฟนเรายิ้มน่ารักจังเสีย” ผักส่งดิฉันและโบว์ขึ้นรถสองแถว  ตอนแรกโจ๊กบอกจะไปส่งดิฉัน  เพราะโจ๊กคนควนขนุน  อำเภอติดกัน   แต่ดิฉันไม่เอา  แต่พอนั่งรถสองแถว  โจ๊กก็ขับมอเตอร์ไซค์ตามมาตลอดทาง  ดิฉันเริ่มกระอักกระอ่วนใจ  อยากตะโกนบอกโจ๊กไปว่า อย่ามาวุ่นวายกับกุ ..ก็กลัวโจ๊กจะเสียหน้าเสียใจ  เลยได้แต่นั่งมุดหน้าอยู่แบบนั้น โจ๊กไม่ยอมหยุดแค่อำเภอตัวเอง  เขาขับตามรถสองแถวที่ดิฉันนั่ง  มาจนเข้าเขต อ.ป่าพะยอม  ดิฉันเริ่มกังวลใจ  เพราะกลัวพ่อรู้ว่ามีผู้ชายมาตาม   กลัวพ่อจะไล่ทุบหรือด่าพวกโจ๊กนั่นแหละ  เพราะพ่อหวงดิฉันมาก   ดิฉันอาศัยจังหวะที่โจ๊กขับห่าง  แอบโทรบอกพี่ชายให้มารับที่แยกป่าพะยอม  พอรถไปถึง พี่ชายดิฉันยังมาไม่ทัน  เลยต้องลงรถรอที่ศาลาริมทาง  พวกโจ๊กก็มาจอดยิ้มแป้นแล้นใส่ดิฉัน  พยายามชวนคุยไปเรื่อย ดิฉันจึงต้องบอกพวกโจ๊กไปว่า  พ่อดิฉันดุมาก  และไม่ชอบแน่ๆหากพวกโจ๊กมาเกาะแกะให้เห็น  และพี่ชายดิฉันก็เป็นนักเลงป่าพะยอม  เคยไล่ทุบกับพวกนักเลงควนขนุนอยู่  ดิฉันขอให้โจ๊กกลับไป  เพราะไม่อยากมีปัญหาชีวิต โจ๊ก ก็ลีลา แต่ก็ยอมถอยให้  แต่ไม่กลับ  แค่ขยับไปอยู่ห่างๆ  ทำทีเป็นนั่งคุยกับเพื่อน  ดิฉันไม่เข้าใจเลยว่าโจ๊กต้องการอะไร  พอพี่ชายดิฉันขับรถมารับ   ดิฉันเลยรู้ เพราะโจ๊กขับรถตามมาห่างๆ  พอถึงบ้านพี่ชายเลี้ยวเข้าบ้าน พวกของโจ๊กก็ทำทีขี่ผ่านบ้านไป  แล้วก็วนกลับมาใหม่  ก่อนจะกลับไปเลย  ดิฉันกลัวจนแอบตำหนิตัวเอง  ว่านี่ดิฉันทำบ้าอะไรไป   ตามมาถึงบ้าน เอาแล้วไง เพราะโจ๊กเรียน   กศน.และที่บ้านก็พอจะมีกิน  ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาบอกชัดว่าจะจีบดิฉัน  โจ๊กก็มีเวลาเหลือเฟือ  เพราะเขาเรียนเสาร์อาทิตย์  วันจันทร์ถึงศุกร์  ดิฉันจึงเจอโจ๊กมาดักที่หน้าโรงเรียนทุกวัน  ดิฉันกระอักกระอ่วนใจ  อยากจะบอกโจ๊กไปว่า ดิฉันไม่ได้ชอบเขาเลย  ก็กลัวจะทำให้เขาเสียใจ โจ๊กติดต่อกับดิฉันโดยผ่านโทรศัพท์ของโบว์เวลาอยู่โรงเรียน  ตอนแรกดิฉันก็พยายามจะถามคำตอบคำใส่โจ๊ก เพื่อให้เขาถอยไปเอง  แต่โจ๊กมาแบบจริงจังกับดิฉันมาก วันนึง ดิฉันเลิกเรียน เดินออกประตูหน้า  คิดว่าจะพากันไปนั่งกินไอติมส่วนโบว์ไปเอารถที่โรงจอดรถมารับ  พอออกประตูมา ก็เจอโจ๊กกับเพื่อนเต็มๆ โจ๊ก ยื่นกล่องโทรศัพท์ยี่ห้อโนเกีย X6 มือหนึ่งมาให้ดิฉัน  ตอนแรกดิฉันคิดว่าจะเป็นพวกขนม นมเนยก็จะรับเอาไว้  แต่เจอของหนักแบบนั้นดิฉันก็หดมือ  เพราะไม่อยากได้อะไรแบบนี้ แล้วจริงๆดิฉันก็มีโทรศัพท์อยู่แล้ว ดิฉันทำตัวไม่ถูกเลย  เพราะที่ผ่านมาไม่เคยเจอใครทุ่มทุนสร้างแบบโจ๊ก  ผักสะกิดให้ดิฉันรับเอาไว้  แต่ดิฉันไม่เอา เพราะรู้ว่าโทรศัพท์รุ่นนั้น  ราคาไม่ใช่ถูกๆ  ดิฉันไม่ได้ชอบโจ๊ก  และถึงชอบก็คงไม่รับ  เพราะไม่อยากตอบคำถามพ่อแม่  และไม่อยากติดหนี้ใคร  ดิฉันยืนกรานไม่รับของจากโจ๊ก  โจ๊กเซ้าซี้  เข้ามาจับมือจับแขนดิฉันพยายามจะยัดมันใส่มือ  ดิฉันเริ่มเหวี่ยง  เพราะไม่ชอบการถูกเนื้อต้องตัวแบบนี้ สายตาและคำพูดของโจ๊ก มันไม่เหมาะกับบุคลิคนักเลงของเขาเลย  แต่น้ำเสียงโจ๊กบ่งบอกถึงความจริงใจอย่างมาก  จนดิฉันลังเล  โบว์ก็ตามมาสมทบแล้ว  นักเรียนคนอื่นเดินผ่านไปมาก็มอง  เพราะเราไปแอบคุยกันหน้าวิทยาลัยเทคนิคแทนหน้าโรงเรียนสตรี  โจ๊กยืนกรานจะให้ดิฉันรับโทรศัพท์ของโจ๊กไปให้ได้  จนดิฉันต้องบอกโจ๊กไปว่า ”โจ๊ก..เรามีโทรศัพท์อยู่แล้ว  แค่ไม่อยากจะให้ “ โจ๊กออกอาการดีใจ  และขอเบอร์จากดิฉันให้ได้  ถ้าดิฉันไม่ให้  เขาบอกเขาจะตะโกนบอกรักดิฉันตรงนั้นดังๆให้คนอื่นได้ยินกันทั่ว   ดิฉันไม่รู้จะทำยังไง  เลยต้องจำใจให้ไป   โจ๊กรีบโทรมาทันทีเพื่อเช็ค  พอได้ยินเสียงริงโทนโทรศัพท์ดิฉันดัง เขาก็ยิ้มจนเห็นฟันขาวตัดกับริมฝีปากที่ดำ โจ๊กออกอาการดีใจ  และขอเบอร์จากดิฉันให้ได้  ถ้าดิฉันไม่ให้  เขาบอกเขาจะตะโกนบอกรักดิฉันตรงนั้นดังๆให้คนอื่นได้ยินกันทั่ว   ดิฉันไม่รู้จะทำยังไง  เลยต้องจำใจให้ไป   โจ๊กรีบโทรมาทันทีเพื่อเช็ค  พอได้ยินเสียงริงโทนโทรศัพท์ดิฉันดัง เขาก็ยิ้มจนเห็นฟันขาวตัดกับริมฝีปากที่ดำ ดิฉันเป็นคนที่สัมผัสเรื่องพวกนี้ได้  หาก นั่งนิ่งๆทำสมาธิแล้วเบิ่งตาไม่กระพริบ   ดิฉันอยากเห็นโจ๊กในตอนนี้ เลยนั่งหันหน้าไปทางหน้าบ้าน  แล้วเพ่งตามองไปนิ่งๆฝ่าความมืดออกไป มีแค่แสงไฟใต้ถุนบ้างส่องไปลางๆ ภาพของโจ๊กเริ่มชัดขึ้น  ยิ่งเบิ่งตายิ่งเห็นชัดเป็นแค่เงาดำๆ ยืนอยู่ที่หน้าบ้าน  ดิฉันไม่ได้มีความสามารถมากพอจะเพ่งจนมองเห็นร่างที่ชัดกว่านั้น  เลยหยุดทำแค่นั้น แค่รู้ว่าที่หน้าบ้านเป็นโจ๊กแน่ๆเลยพอ

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

งานศพหลาน!!

           เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณป้าของเราเล่าให้ฟังอีกทีค่ะ ย้อนกลับไปประมาณ 20 ปีก่อน ลุงกับป้าได้ข่าวว่าหลานชายเสียชีวิตที่จังหวัดส...