วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2561
มองผ่านช่อง !!
โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องของน้าสาวคนหนึ่งที่อยู่คนละบ้านกันที่ได้พบเจอกันเหตุการนี้แล้วก็นำมาเล่าให้ฟัง โดยเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นมา 10 ปีที่แล้ว น้าของปอนอาศัยอยู่ที่กรุงเทพ แต่ว่าในช่วงนั้นได้ไปอาศัยอยู่ที่บ้านของญาติในจังหวัดอยุธยาเนื่องจากมีการจัดงานศพของลุงของน้าที่นั้น น้าก็เลยต้องเดินทางไปช่วยงานและค้างที่นั้นเลย โดยบ้านที่อาศัยอยู่นั้นจะเป็นบ้านไม้สองชั้นยกใต้ถุนสูงก็เหมือนกันกับบ้านต่างจังหวัดทั่วๆไป งานศพของลุงมีการสวดพระอภิธรรมเพียงแค่ 3 วัน เนื่องจากไม่ค่อยมีกำลังทรัพย์มาก ลุงของน้านั้นชื่อว่าลุงพจน์ โดยลุงแกเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ก็คือว่าลุงแกกำลังขับรภกลับบ้านแล้วก็เกิดหลับในเสียหลักชนกลับเสาไฟฟ้าร่างของลุงกระเด็ดออกมาจากรถเสียชีวิตคาที่ น้าของปอนด์ก็ได้มาร่วมงานและอยู่จนจบในส่วนของการช่วยงานนั้นในวันแรก และวันที่สองผ่านไปได้ด้วยดี โดยมีคนมาร่วมก็พอสมควรทุกๆคนนั้นก็ต่างแสดงความเสียใจ กลับการจากไปโดยไม่มีวันกลับของลุงพจน์ เพราะว่าแกนั้นจะมีนิสัยที่ร่าเริงและตลกป็นกันเองและที่สำคัญแกเป็นคนขยันมากๆ จนบางทีอาจจะทำให้ร่างการพักผ่อนไม่เต็มที่หรือทรุดโทรมมากเกินไป จึงทำให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น จนกระทั่งเข้าสู่คืนวันที่ 3 ก่อนที่จะเผาศพเหตุการณ์ก็ได้ดำเนินการไปอย่างปกติทุกอย่าง ถึงเวลากลางคืนหลังจากงานศพเสร็จสิ้นแล้วก็แยกย้ายกลับไปนอนกันที่บ้านงาน ซึ่งก็คือบ้านของลุงพจน์นั้นเอง โดยบ้านหลังนั้นนอกกันทั้งหมด 5 คน ก็คือ ภรรยาของลุงพจน์ น้า ลูกของลุงพจน์ และญาติผู้ชายอีก 2 คน ส่วนญาติที่เหลือนั้นก็นอนกับอยู่ที่บ้านใกล้ๆ เพราะว่ามีบ้านที่ปลูกใกล้ๆในบริเวรนั้นเยอะพอสมควร เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปถึงตี 2 กว่าๆ น้าของปอนด์ที่กำลังนอนอยู่ในมุ้ง ก็มีทั้งลูกของแกและภรรยาของลุงแกอยู่ด้วย ส่วนอีกมุ่งหนึ่งที่อยู่ข้างๆกัน ก็เป็นญาติอีก 2 คน ที่กำลังนอนกันอยู่ น้าของปอนด์ลุกออกจากมุ้งนอกจากเกิดอาการปวดท้องเป็นอย่างมาก แต่บ้านที่อยู่นั้นห้องน้ำจะมีแต่ชั้นล่างเท่านั้น และน้าเป็นคนที่กลัวผีมากๆก็ไม่ค่อยจะกล้าลงไปและในใจนั้นก็ไม่อยากจะปลุกใครเพราะเกรงใจ จึงตัดสินใจที่จะเดินห่างจากมุ้งสักประมาณหนึ่ง แล้วก็คิดว่าจะฉี่ผ่านร่องพื้นที่ปูด้วยไม้ ซึ่งพื้นนั้นมีระยะห่างของแผนไม้อยู่พอสมควรและสามารถมองลอดดูใต้ถุนบ้านได้ พอน้าคิดแบบนั้นจึงนั่งลงเตรียมตัวที่จะฉี่ แต่ว่าเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น น้าได้ยินเสียงฝีเท่าที่เดินมาจากหน้าบ้าน ลักษณะที่กำลังเดินมานั้นเหมือนกับกำลังเตะนั้นเตะนี้หรือไม่ก็สะดุดเศษขยะ เริ่มที่จะดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ น้าตอนนั้นก็ไม่ได้ก้มไปมองเพราะคิดว่าแค่นั่งฉี่เฉยๆ พอฉี่เสร็จก็ว่าจะไปเข้ามุ้งนอนต่อ แต่ด้วยกลับเสียงฝีเท้าที่เริ่มเข้าใกล้นั้นจึงทำให้น้าต้องมองลอดลงไป สิ่งที่น้าเห็นนั้นก็คือ รูปร่างของผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาใต้ถุนบ้านและมือนั้นพยายามจะจับสิ่งของต่างๆ ชายคนนั้นกำลังจะหยิบฝาชีขึ้นเพื่อที่จะดูอาหารเปิดดูตู้กับข้าวแล้วก็นั่งลงที่เก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าวสิ่งที่น้าเห็นนั้นชัดเจนเพราะได้เปิดให้ใต้ถุนเอาไว้ตั้งแต่ก่อนเข้านอน และก็เพราะแสงไฟที่ทำให้น้าเห็นภาพทุกอย่างแบบชัดเจน จนเป็นที่มาที่ทำให้น้าขนลุกไปทั้งตัวในทุกๆอิริยาบถของชายคนนั้น ตั้งแต่เดินเข้ามาหยิบจังโน้นนี่ที่อย่างที่น้าเห็นชายคนนั้นไม่มีศรีษะลักษณะเหมือนกับคนที่หัวขาด ความรู้สึกของน้าตอนนั้นเหมือนกับคนจะเป็นลบสิ้นสติแต่ว่าน้าก็ค่อยๆรวบรวมสติทั้งหมด แล้วก็ลุกขึ้นวิ่งกลับเข้าไปที่มุ้ง โดยที่มีอาการสั่นไปทั้งตัวพร้อมกับความกลัวสุดขีด อีกอย่างก็คือน้านั้นไม่ทันที่จะได้ฉี่ก็เจอแบบนี้สะแล้ว พอเช้าวันต่อมาน้าก็ได้เล่าเรื่องราวต่างๆให้ญาติฟังว่าสิ่งที่เจอคือใคร น้าก็ได้จำการแต่งตัวของคนหัวขาดคนนั้น ว่าใส่กางเกงขายาวและใส่เสื้อลายร้องเท้าแตะ ก็เล่าไปทุกอย่างที่เห็น ทุกคนที่ได้ฟังและบางคนก็เริ่มร้องไห้ออกมา โดยเฉพาะภรรยาและลูกของลุงพจน์เพราะเค้ารู้ดีว่าชายที่กลับมาบ้านเมื่อคืนนี้ ที่น้าของปอนด์ได้เห็นผ่านไม้กระดานก็คือลุงพจน์นั้นเอง ส่วนในเรื่องที่ไม่เห็นหัวอันนี้ต้องบอกก่อนว่า สภาพศพของลุงนั้นใจช่วงของคอลุงนั้นไม่ได้ขาดแต่อยู่ในเชิงเละมากกว่าเพราะว่าศพนั้นถูกถูไปกับพื้นถนน และเรื่องราวทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ครับ
ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด
จำจนตาย !!
เรื่องราวเกิดในหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านสุขาภิบาล 3 ย้อนไปในตอนเด็กๆหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ติดริมคลองแสนแสบเยื่องๆกับหมู่บ้านอีกฝั่งคลองเป็นวัดแห่งหนึ่ง โดยหมู่บ้านนี้มีทั้งหมด 3 ซอย ระหว่างซอย 1 กับ ซอย 2 จะเป็นสนามฟุตบอล ส่วนซอยที่ 3 อยู่ใกล้ริมคลองมีบ้านไม้หลังหนึ่งซึ่งสร้างยืดลงไปในคลองเจ้าของบ้านคือ ลุงกับป้าที่มีอาชีพเก็บของเก่าขาย มีอยู่วันหนึ่งที่กำลังนั่งพักผ่อนกับเเพื่อนหลังจากการเตะฟุตบอลเสร็จ จู่ๆคุณป้าจากบ้านในคลองก็วิ่งออกมาหน้าตาตื่นผมตั้งชี้ฟูเข้ามาหาพูดจาไม่รู้เรื่อง หลังจากนั้นก็ให้ป้านั่งลงและตั้งสติ ป้าก็เลยเล่าว่าโดนผีเด็กมันหลอก ป้าบอกว่าเป็นผีเด็กผู้หญิงถือตุ๊กตาขึ้นมาจากน้ำ ใส่ชุดกระโปรงสีฟ้า เราก็เลยอาสาไปดูที่บ้านป้าโดยไปกับประมาณ 4-5 คน โดยให้ป้านั่งอยู่ร้านค้าที่ข้างสนามฟุตบอล เมื่อไปถึงบ้านป้าสิ่งที่มองเห็นผ่านร่องไม้ของตัวบ้านนั้นก็คือ รอยเท้าเด็ก 3-4 รอย แล้วก็หายไปในตอนนั้นก็พากันตกใจ และชวนกันดูให้ละเอียดอีกที ก็มองไปเห็นปลายเท้าของคนนอนเหยียดอยู่บริเวณส่วนครัวของบ้านข้างๆหม้อข้าวที่ล้ม มีข้าวสารดิบกระจายอยู่เต็มพื้น จึงพากันกลับมาที่ร้านค้าก็ไม่เจอป้าแกสะแล้ว พอถามเพื่อน ก็บอกว่าป้าเดินออกไปตามลุงแฟนของป้าที่หน้าหมู่บ้าน ซึ่งเดินเลี้ยวไปคนละทางและก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดที่เจอ แล้วกลับไปที่บ้านป้าอีกครั้งโดยไปกันทั้งหมด 14 คน แต่สิ่งที่เห็นคือ คนที่กำลังนอนชักเกร็งน้ำลายฟูมปาก ก็คือป้าคนที่วิ่งมาบอกว่าเจอผี แล้วพบว่าป้าตายไปแล้วเมื่อตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุตำรวจก็ได้สันนิฐานว่าป้าแกตายมาแล้ว 3 ชั่วโมงจากสาเหตุหัวใจวายเฉียบพรัน โดยทางมูลนิธิได้มาถามกลุ่มนี้ว่าทราบได้อย่างไรว่ามีผู้เสียชีวิตอยู่ ก็เลยบอกไปว่า ป้าแกวิ่งมาบอกว่าถูกผีเด็กหลอก แต่มูลนิธิกลับบอกว่า "เด็กผู้หญิงที่ป้าพูดถึงได้ตายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว" และยังหาศพไม่เจอเลย เช้าวันต่อมาเด็กกลุ่มนี้ก็พากันไปทำบุญ แล้วกลับมาคุยกับที่ร้านค้าข้างสนามฟุตบอล ก็ได้เจอกับพี่ที่เป็นมูลนิธิมาบอกว่าได้ลื้อบ้านของป้าออกและสิ่งที่พบก็คือ "ศพเด็กผู้หญิงคนนั้น ที่อยู่ใกล้ๆกับต่อไม้ของบ้านป้านั้นพร้อมกับตุ๊กตา" โดยเหตุการณ์นี้ทำให้เพื่อนหลายๆคนจับไข้ และพากันทบทวนกลับสิ่งที่ได้เจอมา และเรื่องราวทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ครับ
ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด
สองแม่ลูก !!
เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าจากพี่คนหนึ่งเราขอไม่เอยชื่อแต่จะขอเป็นนามสมมุติแทน โดยพี่คนนี้ชื่อพี่พลเล่าถึงประสบการณ์สยองขวัญของตัวเอง แกเล่าว่าในตอนนั้นแกได้ไปแข่งฟุตบอลที่สนามกีฬาของอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งหมู่บ้านที่นั้นพี่พลต้องขับรถไปราวๆ 5 กิโลเมตร โดยทางที่พี่พลขับไปนั้นเป็นทางลัดตัดทุ่งนาเป็นถนนคอนกรีดเส้นเล็กๆ ทั้งสองข้างทางจะเต็มไปด้วยทุ่งนา และสวนผลไม้บ้างเป็นบางช่วง เรื่องราวก็ดันมาเกิดในตอนขากลับ พี่พลนั้นได้แข่งบอลเสร็จในตอนเวลาเกือบทุ่มฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ โดยแกก็ขับรถกลับบ้านใช่เส้นทางเดิมขับมาเรื่อยๆจบเกือบถึงสะพานปูนเล็กๆทำขึ้นมาเพื่อใช้ในการข้ามคลองชลประทานประมาณ 50 เมตร แสงไฟจากหน้ารถมอเตอร์ไซต์ดันสาดไปพบกับสิ่งที่ผู้ข้างหน้า พี่พลถึงเพ่งมองดู เห็นเป็นผู้หญิงใส่ผ้าถุงลายๆใส่เสื้อแขนกุดสีดำเดินจูงมือเด็กผู้ชายตัวน้อยใส่กางเกงกีฬาสีน้ำเงินแต่ไม่ใส่เสื้อกำลังที่จะเดินขึ้นสะพานปูนนั้น ดูดแล้วน่าจะเป็นแม่ลูกกัน พี่พลก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเวลาขนาดนี้ยังมีคนมาเดินแถวนี้อยู่อีกหรอแถมยังเป็นผู้หญิงกับเด็กอีกด้วยทางเปลี่ยวๆแบบนี้เสี่ยงอันตรายไม่น้อยเลย เพราะปกติแล้วเส้นทางนี้จะมีแต่คนทำนาและทำสวนเค้าใช้กันไม่ค่อยมีใครสัญจรไปมาถ้าไม่จำเป็นจริงๆ พอสิ้นความคิดรถก็ขึ้นมาบนสะพานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงในจุดที่แม่ลูกคู่นั้นอยู่พอดีพี่พลมองดูเพื่อที่จะถาม แต่ในทันใดนั้นเองพี่พลถึงกลับตกใจจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น เพราะแกเห็นร่างของคนเป็นแม่ไม่มีหัว ส่วนลูกชายก็มีใบหน้าแหว่งไปข้างหนึ่งเห็นในระยะประชิดขนาดนี้พี่พลก็เลยสติแตก ขับรถแหกปากร้องลั่นทุ่งออกมาว่า "ผีหลอก โว๊ย ผีหลอก" จนมาถึงบ้านพี่พลก็รีบวิ่งขึ้นบ้านแล้วหาพระมาคล้องคอและเข้าห้องนอนแกทันที คนในบ้านก็พากันงง เช้ามาพี่พลนอนโทรมเป็นไข้อยู่ในห้องแม่พี่พลก็เลยถามว่าไปทำอะไรมาถึงได้เป็นไข้ พี่พลก็เลยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แม่ฟัง แต่แม่กลับบอกมาว่า "กล้าผ่านไปได้ยังไง ไม่มีใครเค้าผ่านไปกันหรอก โดนผีอีนวลกับลูกมันหลอกแล้วละสิ" มันถูกข่มขื่นและถูกฆ่าตัดคอ ส่วนลูกชายก็โดยฟันหน้าแหว่งด้วยมีคนพบศพถูกทิ้งอยู่ใต้สะพานนั้นแหละ เรื่องราวทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ครับ
ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด
คืนสยอง !!
เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าจากเพื่อนรวมงานของผมคนหนึ่ง ที่ได้เล่าถึงประสบการณ์พี่ของเค้า เรื่องมีอยู่ว่าตอนนั้นพี่ของเพื่อนได้ไปเที่ยวงานประจำปีที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งต้องเดินทางไปอีกจังหวัดนึงระยะทางก็ไกลพอสมควรมีคนไปด้วยกันทั้งหมด 6 คน มีเพียงพี่ของเพื่อนผมที่เป็นคนขับส่วนที่เหลือนั่งกระบะหลังทั้งหมด 5 คน ซึ่งเรื่องราวก็ได้มาเกิดขึ้นเมื่อตอนขากลับ โดยช่วงนั้นเป็นเวลาเกือบๆเที่ยงคืน เป็นช่วงระยะทางที่ใกล้จะถึงบ้านแล้วในขณะที่รถกำลังผ่านทุ่งนาในราวๆ 100 เมตรข้างหน้า มีต้นไม้ต้นใหญ่ที่โดดเด่นอยู่ทามกลางความมืด แสงไฟรถเหมือนจะสาดไปเห็นเหมือนกับมีคนอยู่ใต้ต้นยางนานั้นลักษณะเหมือนผู้หญิงกำลังยืนก้มหน้า โดยพี่ของเพื่อนผมก็สงสัย ว่าดึกป่านี้แล้วทำไมถึงมีคนมายืนอยู่อย่างนั้นแกก็เลยพริบไฟทัก แต่พอรถเริ่มแล่นเข้สใกล้ต้นยางในระยะ 20 เมตร พี่ของเพื่อนผมนั้นเห็นร่างนั้นกำลังยื่นมือออกมาข้างหน้าแล้วโบกมือ ขึ้นและลงอย่างช้าๆ พี่ของเพื่อนเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี พอถึงจุดที่ร่างนั้นยืนอยู่ทันได้นั้นเองร่างนั้นก็กระโดดมาเกาะที่กระจกหน้ารถ เสี้ยววินาทีที่พี่เห็นร่างนั้นแกเห็นเป็นผู้หญิงหน้าตาเละๆ มีเลือดสดๆไหลเต็มหน้า และตัวไปหมด ตอนนั้นพี่ของเพื่อนตกใจจนแทบช๊อค แกจึงหักพวกมาลัยอย่างแรงเพื่อให้ร่างนั้นหลุด ด่วยความที่รถแล่นมาด้วยความเร็ว แล้วถูกหักพวงมาลัยแบบกระทันหันด้วยนั้น ทำให้รถคันนี้พลิกคว่ำลงข้างทาง ส่วนคนที่นั่งกระบะท้ายกระเด็นไปคนละทิศละทาง บางคนสลบบางคนจะพอมีสติก็ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด จนมีรถขับผ่านมาเห็นจึงรีบโทรแจ้งตำรวจและให้มารับคนเจ็บไปหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้พี่ชายของเพื่อนผมนั้นไม่ปกติเหมือนเดิม และยังไม่ทราบว่าต้นยางนั้นเคยมีเหตุการณ์อะไรมาก่อน เรื่องราวทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ครับ
ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด
ห้องพักบนดาดฟ้า !!
ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด
วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2561
ลูกค้าขาประจำ !!
มีผู้ชายคนหนึ่งเล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากตลาดนัดริมทางรถไฟ ถึงผมจะเป็นคนต่างจังหวัดพึ่งเข้ากรุงเทพเพื่อทำมาหากินได้ไม่กี่ปี แต่เรื่องผีสางนั้นผู้ชายคนนี้ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหรนัก จนไปเจอดีเข้าที่ตลาดนัดริมทางรถไฟใกล้ๆกับสถานีสามเสน ผู้ชายคนนี้เป็นพอค้าข้าวโพดปิ้งที่ตลาดนัดตรงนั้นแหละครับ ใจจริงผู้ชายคนนี้ก็อยากทำงานบริษัทมีระดับแต่งตัวดี ไม่่ต้องมาตากแดกตากลมแถมยังต้องอยู่หน้าเตาไฟที่ร้อนระอุจนหน้าดำขนาดนี้อย่างว่าแหละครับหนุ่มอีสานจบเพียง ป.4 เข้ามาทำงานเมืองกรุงเก็บเงินทองส่งให้น้องได้เรียบหนังสือ มันก็ต้องแรกมากับความลำบากแบบนี้แหละครับ ผมได้เช่าห้องอยู่กับเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่จังหวัดเดียวกันอยู่แถวบางซื่อ ต้องไปซื้อข่าวโพดที่ตลาดไทเป็นข้าวโพดที่หวาน หอมอร่อยจากสระบุรี ในช่วงแรกๆนั้นรับมาเพียงกิโลละ 10 บาทเท่านั้น แต่ตอนนี้กิโลละ 18 บาทแล้ว แต่ไม่ได้ขายเพียงข้าวโพดปิงเพียงอย่างเดียวเพราะที่นั้น ตลาดนัดเปิดเพียงอาทิตย์ละสองวันไม่อย่างนั้นคงไม่มีเงินพอส่งให้ทางบ้านแน่ๆ ก็จึงเลือกที่จะเปลี่ยนทำเลไปหลายๆตลาดนัดแทบจะทุกวันเลยก็ได้ เพียงแต่มาเจอเรื่องขนลุกที่ตลาดนัดย่านนั้น ซึ่งอยู่ใกล้กับกรมสวัสดิการทหารบกพอดี ชีวิตของพ่อค้าเร่นั้น ลองมาคิดอีกทีก็สนุกเหมือนกันพอตลาดวายก็แบ่งสินค้าให้กันและกันทุกครั้ง แถมยังได้เจอกับลูกค้ามากหน้าหลายตา จนรวมไปถึงลูกค้าประจำ ที่มักจะซื้อครั้งละ 4 ฝัก แถมยังบอกอีกว่าข้าวโพดของผมนั้นอร่อยถูกปากกว่าที่ปลอกเปลือกกว่าตั้งเยอะ พูดถึงลูกค้าขาประจำที่คุ้นหน้ามาหลายเดือนแล้วก็คือ คุณลุงที่อยู่ในกรมทหารที่มีอายุราวๆกว่า 60 ปี ที่ใกล้จะเกษียณแล้วเต็มทีรูปร่างผอมสูงผมขาวตัดผมเกรียนนุ่งกางเกงขาสั้น ที่เดินลากรองเท้าแตะช้าๆท่าทางมีสง่า เดินชมตลาดไปเรื่อยบางวันก็จะซื้อปลาเล็กปลาน้อย แต่ที่แน่ๆต้องมาซื้อข้าวโพดร้านผมเป็นประจำ พอเริ่มคุ้นเคยกันคุณลงคนนี้ก็เล่าว่า หลานชายและหลายสาวนั้นชอบกินข้าวโพดปิ้งมากๆเคยขอที่จะมาด้วยแต่แม่ของแกไม่ยอม เพราะว่าต้องข้ามถนนเข้ามากลับว่าจะโดนรถเชี่ยวชนเอา แล้วคุณลุงก็อวยพรผมขอให้ขายดีๆมีกำไรเยอะ จนผมต้องยกมือไหว้ จนมาถึงวันเกิดเหตุ ฟ้านั้นครึ้มฝนตรงตั้งแต่บ่ายๆ ก็ได้แต่ภาวนาขอให้ฝนหยุดเพราะไม่อย่างนั้นคงไม่มีลูกค้าแน่ หลังจากนั้นเวลาประมาณ 5 โมงเย็นฝนนั้นไม่ตกและลูกค้าขาประจำของผมก็มาแล้ว ผมรีบคัดข้าวโพดฝักงามๆรอเอาไว้ 4 ฝักและก็ไม่ผิดหวังเมื่อคุณลุงเดินแล้วยิ้มเข้ามา แล้วบอกว่า ใส่ถุงมาเลยไอหลายชายแต่คราวนี้แกส่งแบงค์ร้อยมาให้ในตอนนั้นผมกำลังล่วงเอาเงินทอนแต่คุณลงกับยกมือห้ามแล้วบอกว่าไม่ต้องทอนขอบใจนะขอให้เจริญๆเถอะทำมาค้าขึ้นนะพ่อคุณ ผมก็ยกมือไหว้แบบงงหลังจากนั้นลุงแกก็ได้หายไปในกลุ่มคนเกือบจะพร้อมๆกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มาอายุเกือบๆ 40 ปี ที่จูงมือเด็กหญิงกับเด็กชายมาตรงหน้า แล้วพูดขึ้นมาว่า "ข้าวโพดเจ้านี้ใช้ไหมที่ลูกอยากกินนัก" ทีหลังแม่จะมาซื้อแทนปู่ให้เดียวเก็บไปกินที่วัดต้องพระสวดศพปู่ก็แล้วกัน ในขณะนั้นผมเย็นวาบไปทั้งสันหลัง ได้ความว่าคุณลุงขาประจำนั้น หัวใจวายตายมาสองวันแล้ว แต่วิญญาณก็มาลำลาคนขายเข้าโพดคนนี้จนได้
ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด
ผู้โดยสารพิเศษ !!
เรื่องมีอยู่ว่าในช่วงที่ขับรถกลับมาจากต่างจังหวัดแถวชลบุรี แล้วหวังว่าจะนอนยาวเพราะพึ่งกลับมาในตอนตี 3 กว่าๆ แต่ในระหว่างนอนอยู่นั้นมีลูกค้าคนหนึ่งได้โทรมาในเวลา 10 โมงกว่าๆด้วยความสลึมสลือจึงตื่นมารับสาย ลูกค้าก็ได้บอกมาว่าพอดีต้องการที่จะเช่าเหมารถไปไหว้พ่อและแม่ของเค้า ทางพี่ที่ขับแท๊กซี่ก็ได้ถามกลับไปว่าทางตัวบ้านลูกค้าอยู่ที่ไหน ก็ตอบกลับมาว่าอยู่แถวๆโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ที่สมุทรสาคร ซึ่งใกล้ๆกับพี่ที่ขับแท๊กซี่อยู่แล้วด้วยจึงได้นัดเวลากันในเวลาบ่ายโมงครึ่งที่หน้าโรงพยาบาลโดยจะใส่ชุดสีดำทั้งชุดเลย พอถึงเวลาที่นัดกันไว้พอไปถึงหน้าโรงพยายาลก็พบกับลูกค้าที่เรียกใช้บริการ แต่ข้างตัวของลูกค้านั้นเต็มไปด้วยของพะลุงพะลังเต็มไปหมด โดยขึ้นมานั่งเบาะหน้าแล้วเอาของไว้เบาะหลังทั้งหมด ระหว่างที่ขับไปนั้นตลอดทางมีความแปลกๆอยู่หนึ่งอย่าง โดยพี่คนนี้จะเป็นคนที่ถามคำตอบคำ บางทีที่พูดก็ไม่เคยตอบเลย ระหว่างทางก่อนที่จะถึงจุดหมายผู้โดยสารนั้นได้บอกให้เลี้ยวก่อน คนขับก็ถามว่าเลี้ยวไหน ผู้โดยสารก็บอกเลี้ยวตรงนี้เลยค่ะ คนขับก็เลี้ยวไปตามที่ผู้โดยสารบอก แต่ตรงที่เลี้ยวไปนั้นมันไม่ใช่ทางปกติทั่วไป แต่มันเป็นป่า คนขับก็เลี้ยวไปตามที่ผู้โดยสารบอกมาช่วงแรกๆของถนนยังเป็นราดยาง แต่พอเข้าไปสักพักนั้นทางเริ่มเปลี่ยนไปเป็นหินกรวด ยิ่งขับไปลึกๆเริ่มเป็นดินผสมกับหญ้า โดยทางที่ผู้โดยสารบอกนั้นมีความลึกลับซับซ้อนพอสมควรเพราะทั้งเลี้ยวซ้าย และขวาเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง แต่มีความผิดปกติอยู่หนึ่งอย่างเพราะสองข้างทางนั้นไม่มีบ้านคนอยู่เลยแม้แต่หลังเดียว และผู้โดยสารก็บอกมาว่า เดียวถึงบอกของฉันแล้วให้จอดตรงที่ฉันบอกนะค่ะ รอแปปเดียวดิฉันจะออกมาเวลานั้นประมาณบ่าย 3 กว่า พอถึงจุดหมายผู้โดยสารก็บอกให้จอด เป็นบ้านหลังใหญ่แต่มีความเก่า และรอบๆข้างมีแต่ก่อไผ่เต็มไปหมด โดยผู้โดยสารให้จอดก่อนถึงทางเข้าบ้าน แล้วบอกว่า น้องค่ะจอดตรงนี้นะค่ะ ไม่ต้องตามพี่เข้าไป ไม่ต้องขับรถเข้าไปเลย และไม่ต้องเดินเข้าไป พี่ต้องการความเป็นส่วนตัวกับครองครัว โดยคนขับแท๊กซี่นั้นมองไปรอบๆก็ไม่พบใคร มีเพียงกอไผ่ที่ลมพัดแล้วทำให้เกิดเสียงเพียงเท่านั้น ในช่วงที่ระหว่างรอลูกค้าก็ได้เล่นโทรศัพท์แค่กลับไม่มีสัญญาณเลยทำอะไรก็ไม่ได้ ด้วยบรรยากาศของข้างทางอยู่ดีๆก็เผลอหลับไป แต่ไม่ทราบว่าหลับไปตอนไหน และทันใดนั้นก็มีเสียงคนมาเคาะกระจก "ป๊อก ป๊อก ป๊อก" เราก็สลึมสลือตื่นมาแล้วพบว่าสตาร์ทรถทิ้งไว้ ทางคนขับแท็กซี่ก็ได้ลดกระจกเพื่อคุณกับผู้โดยสาร ผู้โดยสารก็บอกมาว่า คุณค่ะพอดียังคุยกับพ่อแม่ไม่เสร็จเลยของเวลาต่ออีกสัก 1 ชั่วโมงนะค่ะ คนขับแท็กซี่ก็ตอบแบบงง "ครับๆ ได้ครับ" (เพราะลูกค้าเหมามาแล้ว กับจำทางกลับไม่ได้อีกต่างหา) แล้วลูกค้าก็จ่ายเงินให้ไปก่อน 1,000 บาท แล้วก็บอกว่า พี่จ่ายให้ก่อนนะครึ่งหนึ่ง และเดียวพี่ออกมาแล้วพาพ่อแม่กลับบ้านด้วย ทางคนขับแท๊กซี่ก็ไม่ได้คิดอะไร ก็เลยเล่นโทรศัพท์ต่อเวลาก็ผ่านไปจนเกือบ 1 ทุ่มกว่า
ลูกค้าก็ได้มาเคาะที่ประตูหลังเหมือนจะเอาของที่ประตูหลังและก็เปิดไฟในรถ แต่กลับต้องขนลุกเมื่อเปิดไฟเสร็จ กลับพบว่าเจอรูปพ่อกับรูปแม่ ที่มีเขียนว่า ชาตะ และ มรณะ ที่ได้เอามาวางเอาไว้ในเบาะหลัง ตอนนั้นใจคนขับได้ใจเสียไปแล้วนี้อะไรหรอครับ ทางผู้โดยสารก็ได้บอกมาว่า นี้เป็นพ่อ และแม่ เดียวน้องสวัสดีท่านด้วย ณ ตอนนั้นสติแทบจะเตลิดแล้วรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร หลังจากนั้นลูกค้าก็ได้มานั่งเบาะหน้าข้างๆคนขับ แล้วก็บอกว่าน้องออกรถเลยนะค่ะ ด้วยระยะทางตอนกลางคืนและสองข้างทางเป็นป่าโดยจะเห็นเพียงแค่ไฟทางเท่านั้น แต่ในตลอดทางมีเรื่องที่ทำให้คนขับนั้นขนลุก นั้นก็คือ ผู้โดยสายหันกลับไปคุยกับรูปแล้วก็หัวเราะ ตอนนั้นคิดอยู่ในใจพี่เค้ากำลังคุยกับอะไรบางอย่างที่เราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า ในตอนมานั้นใช้เวลาประมาณ 30 นาที แต่ขากลับนั้นใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าๆ และระหว่างทางนั้นเริ่มไม่คุ้นตา เพราะในตอนขับมานั้นไม่ได้ตรงมาตลอดทางเพราะมีทั้งเลี้ยวซ้ายและขวา แล้วทางคนขับแท๊กซี่นั้นก็ได้พูดหยอกๆขึ้นมาว่า "เดียวตอนที่พี่ลงเนี้ยเชิญคุณพ่อคุณแม่ลงด้วยนะครับเดียวคุณพ่อ คุณแม่จะลืมตัวแล้วไม่ได้ลง พอพูดจบลูกค้าก็พูดสวนมาทันควันเลยว่า "คุณพ่อ คุณแม่ท่านไม่ลืมหรอกค่ะ เพราท่านอยากไปหาหลานที่บ้านมาก" และได้พูดต่ออีกว่า "คุณพ่อ คุณแม่บอกว่าคุณมารอนานแล้วคุณนั้นเป็นคนจริงใจดีนะ ไม่ใช้คนเลวร้ายแต่คุณชอบเจออะไรแปลกๆมาเยอะ เพราะว่าคุณเคยไปก่อเรื่องอะไรไว้ จึงทำให้คุณต้องพบเจออะไรแปลกๆแบบนี้เยอะไปหมด" ขับรถไปสักพักผู้โดยสารก็บอกขึ้นมาว่าไม่ต้องไปถึงที่โรงพยาบาลหรอก แล้วเดียวเลี้ยวเข้าซอยนี้ไปใกล้จะถึงบ้านพี่แล้ว พอเลี้ยวเข้าไปจอดหน้าบ้านพี่เค้า พี่เค้าก็ได้ลงไปเปิดประตูหลังเพื่อเอารูปพ่อแม่ลง แต่ช่วงที่เปิดประตูหลังนั้นได้มีการชะงักนิดนึงแล้วก็พูดอะไรสักอย่าง แล้วก็เอารูปคุณพ่อคุณแม่มา เดินมาเปิดประตูหน้า แล้วก็ให้แบงค์ 1000 มาหนึ่งใบคือเงินอีกครึ่งที่เหมา และก็ได้ให้เพิ่มอีก 500 แล้วลูกค้าก็เอยออกมาว่า "คุณแม่บอกว่าเอาให้เพิ่ม" เพราะว่าเสียเวลารอตั้งนาน แล้วลูกค้าก็ได้บอกอีกว่า "วันนี้ไม่ต้องขับรถแล้วนะค่ะ น้องกลับบ้านไปพักผ่อนเลย เพราะคุณแม่เค้าบอกมาว่า โหมงานหนักมาหลายวันแล้วร่างกายจะมีปัญหา จะล้มหมอน นอนเสื่อ" หลังจากนั้นก็ได้มีนัดกับรุ่นพี่ในตอนกลางคืนก็ขับรถไปกินเลี้ยงกัน พอได้กลับบ้านกันจริงๆก็เป็นเวลาตี 3 หลังจากนั้นก็ได้ไปส่งพี่คนนึงช่วงขับรถกลับนั้นระหว่างทางมีวัดอยู่วันหนึ่ง แต่ดันเผลอหลุดปากพูดออกมาว่า "เจอวัดอย่างนี้ถ้าเป็นเมื่อก่อนต้องล่าท้าผีแล้ว" พอไปส่งรุ่นพี่เสร็จปั้บ รุ่นพี่ก็ปิดประตูแต่พอขับไปประมานเพียงแค่ 3 นาที จู่ๆเสียปิดประตูขึ้นว่าปิดไม่สนิทก็เลยลงไปเพื่อปิดประตู แต่พอขับไปอีกสักพักก็ยังดังอยู่ แต่ช่วงที่ระหว่างขับๆอยู่นั้นจู่ๆฝากระโปรงหลังก็ดันเปิดขึ้นมาเอง ก็เลยจอดและปิดฝากระโปงท้าย หลังจากนั้นก็เลยนึกถึงพี่ผู้โดยสารคนนั้นว่าให้กลับบ้านไปพักผ่อนเพราะว่ามันอันตรายเพราะอาจจะ ล้มหมอน นอนเสื่อได้
ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด
ร้านข้าวท้ายซอย !!
สมัยช่วงที่เรียบอยู่ในมัธยมในช่วงนั้นในตอนที่เรียนมัธยมก็จะมีแต่ร้านข้าวที่อยู่แต่ในโรงอาหารเท่านั้นแต่จะมีร้านข้าวที่อยู่รอบๆโรงเรียนซึ่งเป็นคุณน้าของเพื่อน ซึ่งน้าของเพื่อนนี้มีเงินอยู่ก่อนหนึ่งแต่ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร จึงเลือกที่จะเปิดร้านขายกับข้าวแต่หาที่ขายไม่ได้สักที แต่มีที่อยู่ที่หนึ่งนั้นก็คือถนนท้ายวัด สภาพซอยนั้นก็จะเป็นซอยตันที่ทะลุไปไหนไม่ได้ แต่ใกล้กับโรงเรียบเดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงเพราะมีทางลัด แต่ด้านหลังวัดนั้นก็จะเป็นคลองน้ำทิ้ง พอคุยกันเรื่องเช่ากันเสร็จก็ให้คนมาถมที่ดิน และก็ได้เป็นร้านกับข้าวขึ้นมาด้วยน้าคนนี้นั้นทำกับข้าวอร่อยจึงมีเด็กไปกินข้าวกันเยอะจนกระทั้งเก็บเงินเก็บทองได้ แต่บริเวณรอบๆร้านนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหรนักเพราะเป็นซอยตัน ด้านหลังก็เป็นคลองฝั่ง ด้านซ้ายมือเดินไปอีกประมาณ 300 เมตร จะเป็นในเมรุ และสุสานจนเด็กที่มากินข้าวทุกวันนั้นได้ถามจะ แกว่าป้าอยู่ตรงนี้ไม่กลัวมั้งหรอ แล้วป้าแกเป็นคนไม่กลัวผีอยู่แล้วด้วยแต่ร้านป้านั้นขายดีมาก มีเด็กบางคนไม่ยอมกินข้าวเที่ยงเพื่อรอเลิกเรียกแล้วมากินร้านป้า โดยป้านั้นเก็บเงินได้อยู่ก้อนหนึ่งป้าแกจึงสร้างที่นอนเอาไว้กับใกล้ๆร้านเอาไว้แค่สะดวกเท่านั้น โดยมีเหตุการณ์อยู่เหตุการณ์หนึ่ง คือป้าแก่เป็นคนไม่กินเนื้อวัวเลย แต่เด็กๆร้องขอมาว่าอยากกินเนื้อป้าก็เลยไปซื้อมาแต่พอเนื้อเหลือป้าแกก็ตัดแล้วเอาไป "ไหว้ผี" หลังร้านของป้า แล้วเด็กบางคนรู้ก็ถามป้าว่าไม่กลัวหรอป้าก็บอกไม่กลัวนะเพราะบางทีก็มีสัมภเวสีมาขอ จนกระทั่งมีเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งมีการซ้อมกีฬาที่โรงเรียนแล้วเลิกช้าประมาณ 6 โมงเย็นกว่าๆ เด็กนึกหิวก็เลยไปกินข้าวร้านป้าข้างโรงเรียน ซึ่งในระหว่างผัดข้าวนั้นป้าแกก็ไอออกมาแต่น้ำลายดันตกไปในข้าวที่กำลังผัดอยู่เด็กเห็นก็เลยบอกป้า ว่าป้าน้ำลายป้าตกไปในข้าวแล้วเนี้ย ป้าแกก็บอกว่าโอเคเดียวป้าทำให้ใหม่นะ แล้วป้าก็เอาข้าวที่มีน้ำลายเอาไหว้ผี จึงมีเด็กถามป้าว่า ป้ามันเลอะน้ำลายแล้วไม่ใช่หรอ "ป้าก็บอกว่ากินๆไปเถอะน่าดีกว่าไม่มีกิน" เด็กก็นั่งกินข้าวตามปกติแต่ป้านั้นมีความรู้สึกเหมือนกับมีคนจ้องมองแกอยู่ ป้าจึงถามไปยังเด็กกลุ่มนี้ว่ามากับใครหรอ เด็กก็จึงบอกว่าผมมากันแค่สามคนครับ แล้วป้าก็กลับมาเด็กถึงกับตกใจ เพราะป้าได้บอกว่า "แล้วใครยืนอยู่หลังเสาไฟฟ้าละ" เด็กก็หันไปกับไม่พบคนยืนอยู่ แต่ป้าก็ยังยืนยันที่จะบอกว่ามีคนยืนอยู่หลังเสาไฟจริงๆใช่เพื่อนเราหรือป่าว เด็กก็ได้ถามป้าว่ามีลักษณะอย่างไร ป้าก็ตอบไปว่าเป็นผู้ชายหลังค่อมๆ เด็กๆก็คิดว่าป้าอำเล่นๆหรือป่าว จนกระทั่งคืนนั้นป้าจะต่อเติมหลังบ้านจึงให้ญาติๆมาช่วย และในตอนนั้นที่ป้าแกกำลังอาบน้ำอยู่นั้นอยู่ดีๆก็โวยวายออกมาไปบอกว่าพี่ๆ ขึ้นไปดูอะไรหน่อยในห้องน้ำมีคนมาแอบดูหนู ระหว่างที่วิ่งออกไปนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกระโดดลงคลอง แต่พวกช่างที่จะมาต่อเติมบ้านนั้นก็วิ่งไปดูที่คลองแต่กลับไม่มีความสั่นไหวของน้ำเลย ด้วยห้องน้ำที่ยังแต่งเติมไม่เสร็จพวกช่างจึงสงสัยว่ามายังไง พอรุ่งเช้าช่างก็ได้ทำการเกลี่ยหน้าดินเพื่อนที่จะขยายพื้นที่ของร้านออกไป ปรากฏว่าระหว่างที่ทำอยู่นั้นดันไปเจอโครงกระดูกประมาณ 4-5 โครงแต่ป้าก็ไม่ได้กลัวอะไร แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ป้าแกนั้นได้มีคนมาจีบ และป้าก็เป็นคนขยันด้วยจึงได้คบหากับคนๆหนึ่งแต่ระหว่างที่คบกับคนนี้นั้นก็ได้ขี้เกียจ
หลังจากนั้นป้าเปลี่ยนคนคบหาบ่อยมากเวลาเด็กมากินข้าวก็จะหงุดหงิดใส่เด็กตลอด ซึ่งเปลี่ยนไปแบบคนละคนจนมีญาติมาถามว่า เห้ยเป็นอะไรว่ะ โดยป้าก็ไม่คุยด้วยเงียบใส่หรือไม่คิดอยากจะทำอะไร มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ป้าแก่ออกไปไหนมาไหนคนเดียวตอน 4 ทุ่ม 5 ทุ่มหลังจากที่ปิดร้านแล้วก็ชอบกลับมาในตอนเวลาตี 3 ตี 4 ประจำ จนกระทั่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ป้าแกเพ้อถึงผู้ชายคนนี้มาก จึงมีญาติถามขึ้นมาว่าคบกับใครอยู่แกก็ตอบมาว่าไม่มีไม่ได้คบกับใครแค่คุยเฉยๆ แต่ช่วงหลังๆนี้แกจะขายตามอารมย์ อยากขายก็ขาย แต่มีความสังเกตที่ว่าเจ๊แกผอมลงและเล็บของแกสีดำทุกนิ้วผมลุงลังหลังๆเด็กก็ไม่อยากจะไปกินเท่าไหร จนมีคนมาถามว่า อยากรู้จริงๆเลยว่าแฟนเจ๊นี้ใครหรอ เจ๊ก็บอกว่าเจ๊ไม่รู้จักแต่คุยกันมานานแล้ว 2-3 เดือน แต่ชอบเค้ารักเค้าอยากไปอยู่กับเค้า แล้วก็ถามต่อว่า แล้วแฟนเจ๊หน้าตาเป็นยังไงหรอ แฟนเจ๊แก่แล้วหลังค่อม มีอายุเค้าไม่กล้าออกมาหาหนูหรอก จนกระทั่งอาการเริ่มหนักไม่กินข้าวจนเข้าโรงพยาบาล หมอก็บอกว่าเจ๊แกอาจจะเป็นไวรัสตับอักเสบ ก็เลยให้ยามากินแต่ทางเจ๊นั้นพยายามจะหนีหมอโดยตลอด ญาติก็เลยพาไปหาพระอาการกลัวแก่หยุด ทางญาติก็เลยคิดว่าผีคงไม่ได้เข้าหรอกแค่ไม่สบายเฉยๆ คืนนั้นแกก็หลับปกติแต่กับพบเจ๊คุยกับผู้ชายคนนี้ด้วยความอยากรู้ว่าเจ๊นั้นคบกับใครจึงลุกขึ้นไปดู กับผมว่าเจ๊คุยกับใครไม่รู้แต่ไม่เห็นตัว หลังจากนั้นแม่ของเจ๊ก็ได้เจอคนหลังค่อมที่คิดว่าเป็นแฟนของลูกสาวจึงบอกว่าลูกสาวไม่สะบายไปเจอที่ร้านได้ไหม หลังจากนั้นแม่ก็เอาเรื่องนี้ไปบอกกับลูก และลูกก็ตอบกลับมาอย่างน่าตกใจว่า "ไม่เป็นไรแม่เดียวหนูก็ไปอยู่กับเค้าแล้ว" จนกระทั้งอาการเริ่มทรุดลงเลื่อยๆ จบเข้าโรงพยาบาล เป็นช่วงเดียวกันที่แม่ของเจ๊นั้นลงไปข้างล่างแล้วตั้งข้าวเอาไว้ข้างๆ แต่พอแม่กลับมากลับเห็นผู้ชายหลังค่อมๆกำลังป้อนข้าวลูกสาวอยู่ แม่ก็คิดว่าโอเคให้แฟนเค้าอยู่ด้วยกัน แต่มันมีการผิดสังเกตที่ว่า 3 ทุ่มแล้วทำไมไม่มีใครออกมาจากห้อง พอแม่เดินเข้าไปกลับพบว่าข้าวที่ซื้อมานั้นกลับไม่มีการเปิดใดๆเลย ก็เลยไปถามพยาบาลว่ามีใครมาป้อนข้าวลูกสาวของฉันไหม พยาบาลก็ตอบไม่มีนะค่ะ แม่จึงมาปลุกลูกแล้วถามลูกว่า มีคนมาป้อนข้าวลูกไหม ลูกก็ตอบมาว่า "มีจ๊ะ" แล้วแม่ก็ถามว่าเค้าไปไหนแล้วละเค้าไปแล้วค่ะเดียวเค้าจะกลับมารับหนู แม่ก็แปลกใจว่ามันมีอะไรแปลกๆนะ หลังจากนั้นก็อาการดีเป็นเหมือนปกติมีน้ำมีนวล หลังจากนั้นช่วงบ่าย 3 เจ๊เสียชีวิตแต่กับพบว่าหนังของเจ๊นั้นติดกระดูด เปรียบเสมือนว่าตายมานานแล้ว หลังจากนั้นทางญาติก็ไปถามว่านิสัยเป็นอย่างไรหรอ หลวงพ่อก็บอกว่าขี้เมา ขึ้เกียจ แถมยังชอบกินลาบเลือด ในตอนนั้นเด็กๆก็อึ้งกับอาการของป้า เพราะป้าเคยมีอาการคุยคนเดียวอยู่บ่อยๆ และในตอนกลางคืนก็ชอบออกไปไหนมาไหนคนเดียว
ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด
สวดไม่จบ !!
ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาไม่ทราบว่าจะไปที่ไหนดี จึงนึกขึ้นได้ว่าอยากจะสวดมนต์ข้ามปีงั้นขอสวดอยู่ที่บ้านละกัน แต่กลับไม่ทราบว่าจะต้องสวดบทไหนบาง ถ้าอย่างงั้นขอสวดในสิ่งที่เรารู้ละกัน ที่นี้ก็นึกขึ้นได้ว่าไหนๆก็สวดมนต์ข้ามปีแล้วงั้นขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลด้วยแล้วกันด้วยความรู้เท่าไม่ถึงกาล จึงเลือกแผ่เมตตาเป็นอย่างแรกแล้วดันพูดก่อนที่จะสวดว่า "ถ้าเกิดใครที่รับรู้และได้ยินให้มารับกุศลไปพร้อมๆกันได้เลย" หลังจากนั้นก็ได้เริ่มสวดพอเริ่มสวดไปได้ไม่เท่าไหรเพราะจำบทสวดไม่ได้จึงเปิดบทสวดใน Youtube ขึ้นมาพอเปิดได้ประมาน 3 นาที เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี บทสวดที่เปิดไว้นั้นกับหยุดเล่นเองสรุปแล้วเน็ตหมด จึงเลือกที่จะไปหาหนังสือสวดมนต์แต่ไม่มีเลยในบ้าน จึงเลือกที่จะหยุดสวดกลางคันแล้วออกไปเติมตังโทรศัพท์ ต้องบอกก่อนว่าบ้านที่อยู่นั้นจะเป็นบ้านสวนที่เป็นแบบทรงไทย ทันทีที่เปิดประตูนั้นสุนัขที่มีอยู่ในบ้านนั้น หมาหอนตอนรับหนักมาก ด้วยที่เราไม่ได้คิดอะไรก็เลยขับรถออกไปหมานั้นได้หอนตามหลังมาตลอด ด้วยระหว่างทางนั้นค่อนข้างจะเปลี่ยวไม่มีไฟบนถนน และด้วยระยะทางจุดแรกนั้นจะเป็นคนงานพม่า สิ่งที่เห็นมาแต่ไหลด้วยไฟหน้ารถสาดไปเห็นเงาผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนสูบบุหรีอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่พอเข้าเริ่มเข้าไปใกล้ๆ ผู้ชายคนนี้กับกระโดดเข้ามาหาตัวรถและด้วยปฏิกิริยาจึงหักหลบแต่หักหลบผ่านไปกลับเห็นร่างนั้นเป็นผู้หญิงเคี้ยวหมากตัวดำเลื่อมไปทั้งตัวเหมือนกับไปตกถังน้ำมันมา พอขับเลยมาได้นิดเดียวนั้นมีความรู้สึกว่าเหมือนรถมันหน่วงๆขับไม่ออก จึงเลือกที่จะหันหลังไปมอง ด้วยไฟท้ายมีแสงสว่างพอที่จะเห็นได้ว่ามีผู้หญิงคนที่เราหักหลบมานั้นใช้มือดึงราวเหล็กของท้ายมอเตอร์ไซต์อยู่ และมือขวาพยายามที่จะเอื่อมมือมาเกือบจะถึงหน้าเหมือนจะขออะไรสักอย่าง หลังจากนั้นพยายามที่จะบิดหนี้ให้แรงที่สุด แต่อยู่ดีๆแรงหน่วงนั้นก็หายไปอยากแรกที่คิดในตอนนี้คือ จะกลับบ้านไหม ถ้ากลับก็ต้องกลับมาเจออย่างแน่นอนแล้วทางก็เปลี่ยวด้วยทั้งทางก็มีเพียงแต่ไฟรถเท่านั้น และในตอนนั้นจึงเลือกที่จะตรงไปที่เซเว่นก่อนเพราะว่ายังมีแสงสว่างอยู่ พอขับมาได้สักพักก็เจอกับสะพานเก่าที่พึ่งจะสร้างใหม่ ที่เอาไว้ข้ามแม่น้ำของชุมชนในช่วงที่กำลังจะขับผ่านตรงสะพาน หางตาของผมนั้นได้เป็นเห็นคนเกือบ 20 คนยืนอยู่กลางแม้น้ำ ซึ่งแม่น้ำนี้ระดับน้ำจะไม่ค่อยสูงเท่าไหรนัก ช่วงที่หันไปมอง พวกเค้านั้นกำลังยืนหันหลังอยู่ เลือกที่จะขับไปต่อแต่ขับไปได้แค่กลางสะพานเท่านั้น คนทั้ง 20 หันมาพร้อมกันมองเป็นสายตาเดียวกันพร้อมกับอ้าปากแล้วสังเกตว่าปากจะกว้างกว่าผิดปกติ พอเห็นอย่างนั้นแล้ว คิดได้อย่างเดียวคือต้องรีบไปถึงเซเว่นให้เร็วที่สุด พอถึงแล้วก็ไปนั่งอยู่ม้านั่งหน้าเซเว่นเพื่อรวบรวมสติ (โดยตรงนั้นจะเป็นสามแยกที่ติดกลับถนนใหญ่)
แต่ตั้งสติได้เพียงแต่ 3 นาทีเท่านั้นกับได้เสียงดังราวกับมีรถชนกัน ด้วยสันชาตยานขอบมนุษย์ได้ยินอะไรแล้วดังก็จะหันไปเองโอยอัตโนมัติ พอหันไปกลับเจอเหมือนคนแล้วนั่งคุกเข่าแล้วพนมมือหันมา ตอนนั้นระบุไม่ได้ว่าเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชายเพราะ เค้าไม่มีหัว แต่ขณะที่ตกใจอยู่นั้นได้ไปเห็นอีกคนที่เหมือนกับตัวพับแบนเป็นกระดาษ A4 เลยก็ว่าได้แล้วพนมมือ หลังจากนั้นรีบวิ่งเข้าเซเว่นทันทีจนพนักงานมาถามว่าเป็นอะไรหรือป่าวตอนนั้นตั้งสติไม่ได้ พอตั้งสติได้ก็บอกไปว่าผมมาเติมเงินโทรศัพท์ครับ ช่วงนั้นกำลังคิดว่าถ้าจะอยู่ก็ต้องอยู่ยันเช้า แล้วถ้ากลับจะกลับทางไหนแต่ทางกลับบ้านมี 2 ทางเท่านั้นด้วยความอยากกลับบ้านขอเลือกอีกทางหนึ่ง ซึ่งมีความเปลี่ยวมากกว่าทางที่มา แถมยังจะต้องผ่านวัดป่าแต่ว่าไม่มีทางเลือกรวบรวมสติ ขับทางไปปกติพอถึงทางที่เป็น 2 เลน ก็มาถึงกับวัดป่าที่พึ่งสร้างได้มาไม่ถึง 10 ปี แต่วัดนี้เป็นวัดที่สร้างไม่เสร็จจึงทำให้บรรยากาศข้างทางไม่ค่อยสู้ดีนัก จึงเลือกที่จะไม่มองแล้วขับไปช่วงที่กำลังจะขับผ่านนั้นหางตานั้นได้ไปเห็นมนดก กับเห็นคนยืนอยู่บนมนดกและรอบๆศาสมนดลทั้งยืนและนั่ง คิดได้อย่างเดียวตอนนั้นต้องขับผ่านไปให้ไวที่สุด คิดว่าตอนนั้นน่าจะไกลพอสมควรแต่กลับมีความรู้สึกว่าเย็นที่ต้นคอรามไปถึงใบหูหลังจากนั้นก็ขนลุกในขณะเดียวกันมีความรู้สึกแฉะๆเหมือนกันน้ำลายที่ เริ่มจากต้นคอมาถึงใบหู และมีความรู้สึกเหมือนมีเงาอยู่ที่มุมหางตาข้างขวา และช่วงระหว่างขับรถได้ยินเสียงเหมือนกับคนมากระซิบข้างหูว่า "แฮร่" พอหลังจากนั้นรีบบิดกลับบ้านให้ไวที่สุด พอช่วงที่เลี้ยวรถเข้ามาบ้านหมาทั้ง 5 ตัวนั้นมาลุมกันเหมือนจะหอนไล่อะไรสักอย่างที่อยู่หน้าบ้าน หลังจากนั้นรีบวิ่งขึ้นบ้านแต่ยังมีความซวยอีกว่าช่วงกำลังขึ้นนั้นหน้าจะหันไปทางเข้าหน้าบ้าน ที่เห็นนั้นก็คือ หมา 5 ตัวนั้นกำลังเห่าไล่กลุ่มคนที่ยืนอยู่เกือบ 30-40 กว่าคน หลังจากนั้นรีบวิ่งเข้ามาในบ้านแลนั่งกอดเข่าอยู่หน้าพระพุทธรูป ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกพอช่วงประมาณเวลาตี 1 กว่ามานึกขึ้นได้ว่าหรือจะเป็นที่เราพูดไปหรือป่าวที่อยากจะให้เค้ามาฟังหรือมารับกุศลหรือป่าว และหลังจากที่ถึงบ้านนั้นหมายังไม่หยุดหอนจนรวบรวมสติแล้วมานั่งเปิดบทสวดแล้วพยายามนั่งนึกถึงสิ่งที่เจอ พอสวดเสร็จมีเสียงเหมือนมีคนมาเคาะที่บานเกล็ด แล้วบอกว่าพอแล้ว ให้ได้แค่นี้ แล้วกราบ พอกราบเสร็จนั้นหมาที่เห่าหอนอยู่กลับหยุดเหมือนกับปิดสวิทช์ (ยังไงก็ฝากเอาไว้สำหรับการรู้เท่าไม่ถึงกาลกับการพูดไปโดยไม่คิดนะครับ)
ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด
บ่อน้ำหลังวิทยาลัย !!
โดยเหตุการณ์นี้ได้เกิดเมื่อ 18 ปีที่แล้วเป็นมหาลัยแห่งหนึ่งที่อยู่ในภาคอีสานที่ใช้ชื่อเรื่องว่า บ่อน้ำหลังวิทยาลัย เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อขณะที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังศึกษาอยู่ในระดับ ปวช ที่วิยาลัยอาชีวะแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ในตอนนั้นได้มีการจัดแข่งขันทักษะด้านวิชาการของวิทยาลัย โดยจะเป็นการแข่งขันร่วมกันกับวิทยาลัยอาชีวะทั้งภาคอีกสาน โดยทางเจ้าภาพที่จัดงานนั้นผู้ที่มาแข่งขันวิชาการให้ไปนอนรวมตัวกันที่วิทยาลัย เพื่อที่ว่าตอนเช้านั้นจะได้เดินทางไป ณ ที่จัดแข่งขันทักษะด้านวิชาการได้ทันเวลาทุกคน และเป็นไปตามคาดเมื่อมีวัยรุ่นมารวมตัวกันประมาน 100 คนนั้นคงไม่ได้นอนแน่ๆ ในตอนนี้ก็มีการจับกลุ่มเล่นกัน หรือดูหนังบางตามปกติ แต่ว่ามีอยู่กลุ่มหนึ่งนั้นได้มีนำโต๊ะปิงปองมา และได้มีการท้ากันเกิดขึ้นว่าระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้องเนี้ยใครจะเก่งกว่ากัน โดยตั้งไว้ว่าถ้าใครแพ้นั้นจะต้องทำตามที่ผู้ชนะสั่ง แต่ทางฝั่งรุ่นน้องก็ได้แพ้รุ่นพี่ โดนที่ทางรุ่นพี่ก็กำลังปรึกษากันอยู่นั้นก็มีรุ่นพี่คนหนึ่งเอยขึ้นมาว่า "พามันไปดูผีที่บ่อน้ำหลังสนามฟุตบอลดิ" ซึ่งที่รุ่นพี่คนนี้พูดออกมานั้นไม่ผู้ใดในกลุ่มนั้นรู้ประวัติของบ่อน้ำนั้นเลย เปรียบเสมือนว่ารุ่นพี่ให้ทำไปเฉยๆเท่านั้น หลังจากนั้นรุ่นพี่ 3 คนก็ได้เอาผ้าเช็ดหน้ามาปิดตารุ่นน้องเอาไว้ และก็พาน้องไปยังบ่อน้ำหลังสนามฟุตบอลในระหว่างทางนั้นจะอยู่ในระยะเวลา 100 เมตรโดยประมาณ โดยจะมีแค่รุ่นน้องหนึ่งคนกับรุ่นพี่อีกสามคนที่พาไปบ่อน้ำเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ตีปิงปองกันต่อ พอเวลาได้ผ่านไปประมาณ 10 นาที ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายแล้วก็วิ่งมาหาผู้ที่กำลังตีปิงปองอยู่ แต่ในระยะการมองเห็นในแสงสว่างนั้นก็จะเห็นเป็นรุ่นพี่สามคนนั้นแล้วตะโกนว่า ผีๆ พอรุ่นพี่มาถึงก็มุดเข้าใต้โต๊ะอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นรุ่นพี่ก็มีอาการที่พูดจาไม่รู้เรื่องถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง และก็จะมีอาจารย์ฝึกสอนที่ได้รับหน้าที่มาดูแลทุกคนพออาจารย์คนนี้มาถึงก็ได้มาพูดว่าพวกแกไปทำอะไรกันไปเล่นอะไรกันมา พวกแกได้เอาเหล้ามากินกันหรือเปล่า เด็กๆก็ตอบว่าไม่ได้ดินครับไม่มีไม่ได้มีใครกินเลย หลังจากนั้นพวกรุ่นน้องก็มองหาเพื่อนที่ไปบ่อน้ำว่ากลับมาหรือยังพอไม่เห็นกลับมาก็เลยพาอาจารย์ไปที่บ่อน้ำแห่งนั้น พอไปถึงก็บนกับน้องที่มากับรุ่นพี่สามคนกำลังนอนสลบอยู่ข้างบ่อน้ำ พอหลังจากนั้นก็ได้อุ้มรุ่นน้องที่สลบมายังโต๊ะปิงปอง และพยายามจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลับไม่มีใครตอบได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะเสียสติไปแล้ว แต่อยู่ๆน้องที่สลบไปนั้นกลับฝืนขึ้นมาแล้ววิ่งเข้าไปหารุ่นพี่สามคนนั้นอย่างรวมเร็ว เหมือนกับว่าจะเข้าไปเอาเรื่อง โดยน้องคนนั้นก็ด่าใหญ่เลยว่า ทำไมถึงทิ้งผมเอาไว้อย่างงั้น ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ที่สุดอาจารย์ได้บอกน้องว่าตั้งสติแล้วบอกมาว่าเกิดอะไรขึ้นวิทยาลัยเราไม่มีอะไรนะไม่มีใครเคยพูดอะไรนะพวกแกไปเจออะไรมา ก็หนึ่งในสามคนนั้นได้ออกมาเล่าว่า ในระหว่างที่พาน้องคนนั้นในขณะผูกผ้าเช็ดหน้าไว้ให้ไปอยู่ที่บ่อน้ำแล้วนั้นรุ่นพี่สามคนก็ได้ถอยห่างจากน้องคนนั้นมาแล้วระยะเกือบ 10 เมตร และหลังจากนั้นก็ได้ให้น้องพูดเพื่อ ท้าทายให้ผีออกมาในขณะที่ปิดตาอยู่ และด้วยความลำคาญรุ่นพี่น้องคนนั้นก็ได้เอยปากออกไปว่า "มันมีไหมผีในบ่อน้ำนี้ออกมาหาดิ" จะรีบกลับไปเล่นต่อ ผ่านไปประมาณสัก 2 นาทีก็ได้ยินเสียงเหมือนอะไรมาเขย่าอยู่ข้างบ่อน้ำที่น้องกำลังยืนอยู่ มันคือเป็นต้นไม้ที่อยู่ริมบ่อน้ำ และสักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรสักอย่างหลนลงไปในน้ำ ในขณะที่รุ่นน้องนั้นไม่เห็นอะไรทั้งสิ้นจะได้ยินแต่เสียง แต่ว่ารุ่นพี่สามคนได้เห็นว่าต้นไม้ข้างหน้าน้องได้เขย่าเองเหมือนมีคนขึ้นไปขย่ม กระโดดลงน้ำ และวิ่งบนน้ำข้ามไปอีกฝั่งของบ่อแล้วขึ้นไปบนต้นไม้ทำอยู่อย่างนี้เมื่อรุ่นพี่เห็นก็ได้เอยเป็นอุทานว่า "อุ้ยๆ" แต่ทางรุ่นน้องที่มองไม่เห็นนั้นก็ตกใจว่าเป็นอะไรกัน
รุ่นพี่ก็ได้ส่องไฟลงไปในน้ำกลับพบว่าเห็นว่าเป็นร่างเหมือนคนแต่ว่ามีครึ่งเดียวแต่ว่าครึ่งล่างไม่มี จนรุ่นพี่ได้วิ่งกลับไปแล้วไปมุดอยู่ใต้โต๊ะ และรุ่นน้องก็ได้เปิดตาขึ้นกลับพบว่าเจอเด็กอายุประมาณ 8 ขวบพุ่งเขามาหาเค้าแล้วน้องก็สลบไป พอวันรุ่งขึ้นก็ได้ขึ้นรถไปเพื่อไปงานทักษะด้านวิชาการพอไปถึงคนที่เจอผีนั้นไม่สามารถทำอะไรได้เลยได้เพียงแต่นั่งแล้วผวาตลอดจนแพ้ในงานวิชาการ และหลังจากนั้นกลุ่มเด็กๆก็ขออาจารย์ว่าถ้าไม่มีอะไรแล้วขอกลับก่อนได้ไหมเพราะว่าไม่มีอะไรแล้ว หลังจากนั้นเด็กๆก็กลับไปกันอยู่ที่ซอยข้างวิทยาลัย ซึ่งจะมีหมู่บ้านอยู่เด็กๆได้ไปเจอบ้านอยู่หลังหนึ่งซึ่งอยู่หลังวิทยาลัยพอดี เด็กก็อดสงสัยไม่ได้ว่าที่เจอเมื่อคืนนั้นมันคืออะไ เด็กๆก็เลือกที่จะเข้าไปถามก็พบกับป้าคนหนึ่งกำลังนั่งทำขนมอยู่หน้าบ้าน โดยเด็กๆก็เข้าไปถามว่า คุณป้าครับอยู่ที่นี้มานานหรือยังครับแกบอกว่าอยู่ในมาตั้งแต่เกิดแล้ว เด็กก็เลยถามว่า ถ้าป้าอยู่ตรงนี้มานานแล้วป้ารู้ไหมว่าพื้นที่ตรงบ่อน้ำนี้เคยมีประวัติอะไรไหมครับ พอเด็กถามจบป้าแกก็ได้วางทุกอย่างที่กำลังทำอยู่แล้วหันมามองกลุ่มเด็กๆด้วยดวงตาที่โกรธมากแล้วด่าเด็กๆว่า พวกแกมาหาอะไรอยากรู้อะไรกัน แล้วป้าคนนั้นก็นั่งร้องไห้กลุ่มเด็กรีบยกมือไหว้แล้วกล่าวขอโทษคุณป้าท่านนั้น แต่เด็กๆก็ยังสงสัยว่าด่าเค้าทำไม จู่ๆก็มีก็มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งออกมาจากหลังบ้านเหมือนจะเข้ามาทำร้ายกลุ่มเด็กๆแล้วพูดว่าพวกเองมาทำอะไรกัน เด็กๆก็เลยเล่าเรื่องที่พวกเค้าเจอให้กับน้าสองคนได้ฟัง หลังจากนั้นก็เลยบอกให้พวกเด็กๆไปรอหน้าปากซอยเดียวจะตามออกไป สักพักน้าผู้ชายก็ได้ตามออกก็ได้ถามกลับเด็กๆว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร พอน้าผู้ชายรู้เรื่องก็ได้พูดออกมาว่า "ยังอยู่อีกหรอ" กลุ่มเด็กๆต่างขนลุกกันทั้งกลุ่ม แล้วน้าก็ได้พูดว่าลูกชายของน้าเอง กลุ่มเด็กๆก็ได้ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น น้าก็ได้เล่าว่าในวันนั้นที่น้าทั้งสองกำลังทำกับข้าวอยู่นั้น ลูกของน้าได้เตะบอลอยู่คนเดียวหน้าบ้านซึ่งติดอยู่กับกำแพงวิทยาลัย แต่กำลังที่เตะอยู่นั้นก็ได้เผลอเตะข้ามกำแพงเข้าไปในวิทยาลัยแล้วตกหน้าบ้านนั้นจะมีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งลูกของน้าได้ปีนต้นไม้เข้าไปแล้วลูกบอลดันอยู่ในบ่อน้ำ ลูกชายของน้าก็เลยกระโดดลงน้ำเพื่อที่จะไปเอาลูกบอลแต่พอเวลาขึ้นกลับขึ้นไม่ได้เพราะติดรากไม้และหลังจากนั้นก็ได้จมน้ำตาย และในที่ที่น้องได้ตายเป็นที่ลับตายสำหรับผู้คนซึ่งทำให้ไม่มีใครเห็นว่าน้องกำลังจบน้ำอยู่ โดยผู้มาพบนั้นก็คือเจ้าหน้าที่ของวิทยาลัยแต่พอขึ้นมากลับผมว่ามีเพียงแค่ครึ่งบนเท่านั้นส่วนครึ่งล่างนั้นยังอยู่ในน้ำ จนมีคนมาน้ำศพน้องไปทำตามศาสนาต่อไป
ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
งานศพหลาน!!
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณป้าของเราเล่าให้ฟังอีกทีค่ะ ย้อนกลับไปประมาณ 20 ปีก่อน ลุงกับป้าได้ข่าวว่าหลานชายเสียชีวิตที่จังหวัดส...
-
เกิดขึ้นมาประมาณ 5 ปีก่อนที่บางแสนคุณตุ๊กตาได้เล่าว่าที่สี่แยกไฟแดงแหลมแท่นติดกับโรงเรียนแห่งหนึ่งจะมีซุ้มกาแฟโบราณอยู่แม่ค้าจะ...
-
เป็นตึกแล็บเคมีครับและน่าจะเป็นตึกที่มีเรื่องเล่าเยอะที่สุดของมหาวิทยาลัยนี้แล้ว ตั้งแต่หากยืนหน้าตึกแล้วมองลอดใต้หว่างขาขึ...
-
เราก็เคยเจอเหมือนกัน เพื่อนๆ ร่วมรุ่นก็เจอพร้อมกัน มันเป็นเหตุการณ์ที่นักศึกษาชายกลุ่มหนึ่งกินเหล้าในหอ อาจารย์มาพบหลักฐา...