วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2562

ตำนานสุดหลอน เรื่อง บ็อบบี้ แม็กกี้ส์ มิวสิคเวิลด์ !!


                  บ็อบ แม็กกี้ เป็นเจ้าของบาร์ที่ชื่อว่าบ็อบบี้ แม็กกี้ส์ มิวสิคเวิลด์ ในรัฐเคนทักกี ประวัติคร่าวๆ ของตึกนี้ก็คือ ก่อนที่จะมาเป็นบาร์ สถานที่แห่งนี้เคยเป็นโรงฆ่าสัตว์มาก่อน เมื่อปี 1896 นายอะลอนโซ วอลลิ่ง และนายสก๊อต แจ็คสัน ได้ทำการฆ่าตัดหัวหญิงสาวนามว่า เพิร์ล ไบรอัน ในโรงฆ่าสัตว์แห่งนี้ แม้ว่าร่างของเธอจะถูกพบในเวลาต่อมา แต่หัวของเธอไม่เคยถูกพบเลยตลอดการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ ผู้ชายทั้งสองคนถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการแขวนคอที่หน้าโรงฆ่าสัตว์ ก่อนตาย พวกเขาประกาศว่าเขาจะหลอกหลอนสถานที่แห่งนี้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ที่นี่ก็เต็มไปด้วยเรื่องราวสุดสยองเหนือธรรมชาติ

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ตำนานสุดหลอน เรื่อง สะพานแห่งถนนซัซคอน !!


                สะพานทางรถไฟบนถนนซัซคอนในรัฐเพนซิลเวเนีย เป็นที่ตั้งของตำนานสุดหลอนที่เล่าขานกันมานานหลายปี ผู้คนต่างพูดว่าผู้หญิงที่ตายตรงสะพานนี้ยังคงวนเวียนหลอกหลอนไม่ไปไหน หากคุณลองได้หยุดรถตรงนั้นแล้ววางกุญแจไว้บนหลังคารถ คุณจะมองเห็นเธอในกระจกหลังของรถคุณ บางคนเล่าว่าผู้หญิงคนนี้แขวนคอตายตรงสะพานแต่นั่นก็เป็นแค่หนึ่งในหลาย ๆ เรื่องที่เล่าต่อกันมาซึ่งก็หลอนไม่แพ้กัน

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ตำนานสุดหลอน เรื่อง ผีแห่งทะเลสาบสโตว์ !!


                เป็นที่เลื่องลือกันว่ามีผีอยู่ที่ทะเลสาบสโตว์ของสวนสาธารณะโกลเดนเกตในซานฟรานซิสโก ตำนานกว่าร้อยปีเรื่องนี้เล่าว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมากับเด็กทารกในรถเข็นแล้วหยุดพักที่ม้านั่งใกล้ ๆ ทะเลสาบ เธอเริ่มพูดคุยกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ผ่านมาแถวนั้นจนไม่ทันสังเกตว่ารถเข็นค่อย ๆ ไหลลงไปในทะเลสาบ เมื่อเธอรู้ว่าลูกของเธอหายไป เธอจึงเริ่มตามหาลูกของเธอทุก ๆ ที่ในสวนสาธารณะ สุดท้ายเธอก็กระโดดลงไปในทะเลสาบและไม่เคยโผล่ขึ้นมาอีกเลย

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ตำนานสุดหลอน เรื่อง รถโวลก้าสีดำของซาตาน !!


       รถโวลก้าเป็นรถที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงปี 1960 โดยเฉพาะในประเทศรัสเซียและประเทศอื่นๆ ในแถบยุโรปตะวันออก และเรื่องราวของรถโวลก้าสีดำถือเป็นตำนานสุดสะพรึงเรื่องหนึ่ง เป็นที่เชื่อกันว่าพวกแวมไพร์ พวกนับถือซาตาน หรือแม้แต่ตัวซาตานเองเป็นคนขับรถโวลก้าสีดำเพื่อลักพาตัวเด็ก เชื่อกันว่าเลือดของเด็กเป็นยารักษาโรคลูคีเมียได้ ส่วนอื่นๆ ของร่างกายเด็กถูกนำไปใช้เป็นยาในการรักษาด้านอื่นๆ อีกด้วย

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ตำนานสุดหลอน เรื่อง ไฟดวงนั้น !!


            แม้ว่าตำนานสุดสยองเรื่องนี้ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง แต่มันก็สามารถทำให้คุณขนลุกซู่ได้เลยทีเดียว เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของนักเรียนอเมริกันที่กลับมาที่หอแล้วไม่กล้าเปิดไฟเพราะกลัวเพื่อนร่วมห้องที่หลับอยู่จะตื่น เช้าวันรุ่งขึ้นเธอกลับพบศพของเพื่อนร่วมห้องคนนั้นพร้อมกับประโยคที่เขียนด้วยเลือดบนกำแพงว่า “เธอคงดีใจสินะที่ไม่ได้เปิดไฟเมื่อคืน” แค่นี้ทำให้คุณขนหัวลุกพอไหม?

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2562

บ้านผีสิงที่น่ากลัวที่สุด เรื่อง Foyer !!


         โถงหน้าบ้าน เมื่อผ่านส่วนรอคิวเข้ามาแล้ว ก็จะพบส่วนประตูทางเข้าบ้านผีสิง คุณจะพบประตูเข้าไปสู่ห้องโถง ( Foyer ) ภายในห้องโถงมีแสงสลัวๆ จากแสงสว่างจากโคมระย้าคริสตัล แชนเดอเลียร์ ( Crystal chandelier ) และเชิงเทียน โดยเปลวเทียนสั่นไหวไปคล้ายต้องสายลม และการตกแต่งภายในเป็นแบบกอธิค ( Gothic เป็นสถาปัตยกรรมที่นิยมในยุโรปช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12-15 ) กับกลิ่นอายแห่งความตาย กับเสียงต้อนรับว่า ” ยินดีต้อนรับ เหล่ามนุยษ์ผู้โง่เขลา….. เข้าสู่บ้านผีสิงแห่งนี้ ( Welcome, foolish mortals…to the Haunted Mansion! ) ”

และเมื่อมองตรงเข้าไปจะพบรู้ภาพชายหมุ่มรูปงามติดอยู่ที่ผนัง แต่เขาก็จะเริ่มแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วจนเหลือแต่โครงกระดูก

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

บ้านผีสิงที่น่ากลัวที่สุด เรื่อง The Facade !!


       ตัวอาคาร ตกแต่งเป็นแบบบ้านสองชั้น สร้างด้วยอิฐแดง ตกแต่งด้วยเหล็กดัดแบบโบราณ ทำให้เก่าโดยเป็นสนิมเขียว อย่างสวยงามแต่แฝงไปด้วยความน่ากลัว แต่ส่วนตัวอาคารนี้เป็นเพียงอาคารหลอกๆ ให้ดูสวยงามและน่ากลัว แต่ส่วนที่เป็นบ้านผีสิงจริงๆนั้น จะเป็นอาคารคล้ายสตูดิโอ ซ่อนอยู่ด้านหลัง

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

บ้านผีสิงที่น่ากลัวที่สุด เรื่อง Walt Disney’s Haunted Mansion !!


          ย้อนกลับไปในช่วงปี 1950 วอล์ท ดีสนีย์ ( Walt Disney ) และ นักออกแบบศิลป์ ( Conceptual Artist ) นามว่า ฮาลเปอร์ กอฟฟ์ ( Harper Goff ) และ จินตวิศวกร ( Imagineer ) นามว่า เคน แอนเดอร์สัน ( Ken Anderson ) ได้สรุปรูปแบบ และแปลน สวนสนุก ดีสนีย์แลนด์ ( Disneyland theme park ) ซึ่งประกอบไปด้วย เมืองเล็กๆ ถนนหลัก ( Main Street ) และ บ้านผีสิง ( Haunted House ) ที่มาจากตำนานปรัมปรา เรื่องโจษจันน่าสพึงกลัว มากมาย มารวมกัน และด้วยเทคนิค และเทคโนโลยีที่ทาง วอล์ท ดีสนีย์ มีจากการถ่ายทำภาพยนต์ ที่นำมาผสมผสาน จนลงตัวอย่างที่สุด นำมาสู่ บ้านผีสิง ที่ น่ากลัวที่สุด และ ดีที่สุด

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

จู่ๆ ไม่รู้อะไรมาพันขา !!


           “ผมยืนอยู่ในน้ำตื้นๆ เหนือเอวขึ้นมานิดหน่อย กำลังกวักมือเรียกเพื่อนให้ลงมาเล่นน้ำด้วยกัน จู่ๆ ก็มีอะไรไม่รู้มาพันขา แล้วดึงวูบจนผมจมดิ่งลงไปเลย…มันคล้ายกับมือคนจริงๆ” เสียงผู้หญิงวี้ดว้าย บางคนก็ยกมือปิดปาก…ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ในน้ำแม้แต่คนเดียว เสียงคลื่นลมสาดซ่าฟังเผินๆ เหมือนมีใครกลุ่มหนึ่งกำลังหัวเราะเย้ยหยันมาจากใต้ทะเล ฟังแล้วขนลุกเกรียวไปทั้งตัวเลยครับ

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เหตุการณ์วันนั้น !!


           ตอนสายวันอาทิตย์มีผู้คนคึกคัก ทั้งพ่อค้าแม่ขาย นักท่องเที่ยวขวักไขว่หนาตา บ้างก็เดินเล่นกันบ้าง หยุดชมวิวและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันบ้าง สายลมพัดโชยไม่ขาดระยะ ชายหาดกว้างขวางร่มรื่น ดูแล้วน่าสบายใจมากกว่าน่ากลัว ผมเห็นผู้คนลงไปเล่นน้ำ ดำผุดดำว่ายอย่างสนุก หนุ่มสาวสาดน้ำใส่กันเสียงหัวเราะร่าเริงดังอยู่ตลอดเวลา สมชัยเล่าว่าช่วงนี้ไม่ใช่หน้ามรสุม คลื่นลมสงบ ถือว่าปลอดภัยสำหรับคนที่จะลงไปเล่นน้ำ แม้จะมีป้ายบอกให้ระวังอันตรายก็ตาม เพราะถ้ามีคลื่นลมแรงจะปักธงสีแดงไว้เตือนภัยและห้ามลงเล่นน้ำด้วย เมื่อนึกถึงภาพชายหาดตอนกลางคืนคงเปล่าเปลี่ยวน่าดู คนที่ต้องไปหาหอยหาปูต้องใจกล้าพอสมควร ได้ข่าวว่ามีคนถูกผีหลอกจังๆ หลายราย ทำให้ต้องไปกันเป็นกลุ่มพอให้อุ่นใจ หรือไม่ก็เลิกไปเดินท่อมๆ ที่ชายหาดอีกแล้ว เพราะไม่อยากเสี่ยงกับการขวัญหนีดีฝ่อโดยใช่เหตุ ทันใดนั้นเอง เสียงผู้หญิงหวีดร้องก็ดังก้องไปทั้งชายหาด คนอื่นๆ หันขวับไปด้วยความตกใจ ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าทำให้ตกตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน! นั่นคือ ชายคนหนึ่งกำลังผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำใกล้ๆ หาด สองมือชูว่อนขอความช่วยเหลือ นัยน์ตาเหลือกลานบอกความหวาดกลัวสุดขีด ก่อนจะจมวูบลงไปในคลื่นลูกใหญ่ที่โหมซัดบัดดล ชายหนุ่มสองคนนุ่งกางเกงอาบน้ำยืนอยู่บนหาด รีบพุ่งตัวลงน้ำเข้าไปช่วยเหลือทันที ขณะที่คนอื่นๆ ก็วิ่งเข้าดูด้วยความตื่นเต้น ผู้หญิงสูงอายุสอง-สามคนถึงกับเป็นลมไปด้วยความตกใจกลัวสุดขีด เราวิ่งเข้าไปดูด้วยใจเต้นระทึก เกือบพร้อมๆ กับที่ชายทั้งสองช่วยกันลากคนจมน้ำขึ้นมาได้อย่างทุลักทุเล แล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่หรา หอบหายใจถี่เร็วด้วยความเหน็ดเหนื่อยตื่นเต้นทั้งสามคน ท่ามกลางไทยมุงที่ถามกันแซดว่าเกิดอะไรขึ้น? ว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า? เล่นน้ำตื้นๆ คลื่นก็ไม่แรง คงจะหลุดลงไปในแอ่งมรณะที่เป็นกับดัก ทะลึ่งตัวขึ้นมาโดนคลื่นลูกโตๆ ซ้ำเติม…ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการกลืนกินชีวิตผู้คนมาแล้วมากมายอย่างแน่นอน ชายหนุ่มที่รอดตายอย่างหวุดหวิดลุกขึ้นมาเสยผม มองเห็นไหล่กว้างอกกำยำ เล่าว่าพวกเขาทั้งสามคนมาจากกรุงเทพฯ ว่ายน้ำแข็ง และไม่ได้เท้าหลุดพื้นแน่นอน เขากลืนน้ำลาย ก่อนจะเล่าต่อด้วยเสียงแหบเครือ

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562

วิญญาณสิงอยู่ที่นั่น !!


เชื่อกันว่าคนที่ตายซับตายซ้อน วิญญาณจะสิงสู่อยู่ที่นั่น เรียกว่าผีน้ำบ้าง พรายทะเลบ้าง คอยเรียกคนชะตาขาดไปอยู่ด้วยกัน บ้างก็เชื่อว่าเมื่อเอาชีวิตคนอื่นได้ตัวเองก็จะได้ไปผุดไปเกิด แต่บ้างก็เชื่อว่ามีผีเจ้าถิ่นดุร้ายมาก คอยคร่าวิญญาณดวงใหม่ๆ เพื่อเอาไปเป็นบริวาร

สมชัยเล่าว่ามีคนโดนผีหลอกหลายคนมาเล่าให้ฟัง ว่าเห็นเดินวนเวียนอยู่ตามชายหาดตอนกลางคืน พอเห็นหน้าดำมะเมื่อม นัยน์ตาแดงจ้าราวถ่านไฟก็รู้ว่าเป็นผีเจ้าถิ่นแน่นอน

ไม่ว่าใครที่เห็นภาพสยองขวัญก็ล้วนแต่แผดร้องโหยหวน ออกวิ่งเตลิดเปิดเปิงไม่คิดชีวิตกันทั้งนั้น บางคนถึงกับสลบคาที่ บางคนก็จับไข้เพ้อคลั่งไปหลายวัน

วันสุดท้ายที่ระยอง เพื่อนก็พาผมไปเที่ยวหาดแม่รำพึง

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ความเชื่อ ความกลัว อาถรรพ์ !!


สาเหตุเพราะมีคนจมน้ำตายทุกปี บางปีก็หลายคน โดยธรรมชาติก็คือ คลื่นลมแรง กับพื้นทรายใต้น้ำยุบลงเป็นแอ่งลึก แม้จะเล่นน้ำตื้นๆ ก็อาจหลุดลงไปในแอ่งมรณะได้ง่ายดาย

หลายๆ คนอาจทะลึ่งตัวขึ้นมาได้ทัน แต่หลายคนก็ชะตาขาด เมื่อโผล่ขึ้นมาจะโดนคลื่นลูกโตๆ โหมซัดจนจมหายลงไปใต้น้ำ ขาดใจตายกลายเป็นผีเฝ้าหาดมานับไม่ถ้วน…เหตุนี้เองจึงเรียกว่าหาดผีดุ หาดกินคน!

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรื่องในตำนาน เรื่อง Buried Alive! ฝังทั้งเป็น !!


เรื่องเล่ากันว่ามีหญิงชายคู่หนึ่งแต่งงานกัน และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข จนกระทั้งแก่เฒ่า ภรรยาของเขาได้จากไป เขาจัดพิธีศพตามหลักศาสนาคริสต์ คือนำศพของเธอมาฝังในโลงศพอย่างดี ฝังในสุสาน เพื่อให้เธอพักผ่อนถาวร

เรื่องคงจบเพียงเท่านี้ หากแต่ไม่ เมื่อดึกคืนหนึ่งในขณะที่ฝ่ายชายนอนหลับ เขาได้ฝันน่ากลัวว่า “เขาเห็นภรรยาที่อยู่ในโลงศพลืมตาตื่นขึ้นมา เธอพยายามตะเกียกตะกาย เพื่อออกจากโลงที่ถูกฝังในดิน ความมืด ความแคบ อากาศก็น้อยลงทุกที ทำให้เธอกลายเป็นบ้า และเธอก็กำลังร้องชื่อเขา เพื่อให้มาช่วยเหลือเธอ”

ฝ่ายชายฝันร้ายแบบนี้ทุกค่ำคืน จนกระทั้งทนไม่ไหว เขาเลยร้องขอให้แพทย์ และหน่วยงานท้องถิ่นนำโลงศพของภรรยาของเขาออกมา และเมื่อทั้งหมดเปิดฝาโลงก็ตะลึงเมื่อศพภรรยาของเขาไม่ได้เน่าเบื่อ ซ้ำที่เบิกตาโพลง ทำหน้าตาหวาดกลัว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ที่เล็บมีเลือดเกรอะกรัง ที่ฝาโลงด้านในมีรอยขีดข่วนชัดเจน

เรื่องของศพที่คิดว่าตายแล้ว นำมาฝังตามพิธีกรรมทางศาสนา หากแต่ต่อมากลับพบว่าผู้ตายนั้นไม่ได้ตายจริง และกลับมาคืนชีพในโลงศพ และพยายามตะเกียดตะกายเอาชีวิตรอดเรื่องราวเหล่านี้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สยองขวัญมากมาย

แต่ที่น่าแปลก คือเรื่องเหล่านี้กลายเป็นจริง อีกทั้งมีมากกว่าหนึ่งกรณี
สาเหตุก็เพราะว่า สมัยก่อนนั้นการตรวจสอบผู้ตายนั้นตายจริงหรือไม่? นั้นไม่ค่อยทันสมัย ทำให้มีการฝังในโลงศพทั้งๆ ที่ผู้ตายคนนั้นแค่ตายชั่วขณะ และนี้คือตัวอย่างของผู้มีประสบการณ์ฝังทั้งเป็นที่ฟื้นคืนชีพในโลงศพที่ถึงฝังในดินอย่างน่าสยดสยอง

ปี 1851 เวอรจิเนีย เเมคโดเนล (Virginia Macdonald) อาศัยอยู่กับพ่อแม่ของเธอในนิวยอร์กซิตี้ และป่วยตาย เธอถูกนำไปฝังในสุสานกรีนวู๊ด (Greenwood) บรู๊คลิน นิวยอร์ค อเมริกา หลังจากพิธีฝังศพผ่านไป แม่ของเธอกลับบอกคนอื่นว่า เธอเชื่อว่าลูกของเธอไม่ตาย เธอพูดแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนครอบครัวของเธอทนไม่ไหวเลยต้องขุดโลงศพเปิดฝาโลงให้แม่ของเธอหายข้อข้องใจซะ แต่พวกเขากลับพบว่า ศพของเวอจิเนียนั้นยังไม่เน่า เธอคืนชีพในโลง และพยายามตะเกียดตะกายออก แสดงให้เห็นว่าเธอพยายามทำลายโลง แต่ล้มเหลว และขาดใจตายไปเสียก่อน

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรื่องในตำนาน เรื่อง Drugs Smuggled in Baby’s Corpse !!


โดยเรื่องนี้เป็นตำนานเมืองเก่า ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรเลยตั้งแต่ปี 1970 โดยมีเรื่องเล่าว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งกับเพื่อนได้ไปท่องเที่ยวสนุกสนานที่ชายแดนเม็กซิโก โดยพวกเขานำทารก 2 ขวบไปด้วย และพวกเขาได้คลาดสายตาทารกแค่แป๊ปเดียวเท่านั้นเอง เด็กทารกก็หายไป พวกเขาจึงไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ออกตามหา และ 15 นาทีต่อมาพวกเขาก็ได้พบเด็ก ผู้เป็นแม่วิ่งไปขอบคุณตำรวจ

… แต่หลังจากนั้นความดีใจก็หายไปทันที เมื่อพวกเขาพบว่าเด็กทารกที่ว่านั้นตายมานาน เป็นเวลา 45 นาทีที่หายไป แล้วที่ท้องเด็กถูกผ่าออก และข้างในยัดด้วยโคเคน สาเหตุการตายของทารกที่ตำรวจได้สันนิษฐาน คือพวกโจรลักพาเด็ก เพื่อซ่อนยาเสพติด ใช้วนการหนีจุดตรวจไปสหรัฐนั่นเอง

เรื่องการยัดยาเสพติดเข้าไปในศพ เพื่อเลี่ยงการตรวจสอบก่อนเข้าสหรัฐอเมริกามีมาช้านานแล้วนะคะ ดั่งข่าวหนึ่งในวอชิงตันโพสต์ ค.ศ.1985 ที่ย่อหน้าว่า “เมื่อวันจันทร์ ในไมอามี่มีการลักลอบขนโคเคนเข้ามาในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยยัดในศพเด็กทารก ในเที่ยวบินจากโคลอมเบียไปยังไมอามี่” โดยตอนแรกเจ้าหน้าที่พบว่า “ศพเด็กที่ตอนแรกนั้นมาแบบเด็กที่เหมือนมีชีวิต พวกนั้นจะทำท่าทำทางเป็นแม่ของเด็ก หากแต่พวกเขาพบพิรุธเสียก่อน”

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรื่องในตำนาน เรื่อง Something Off About That Picture !!


           มีชายคนหนุ่มคนหนึ่งเดินทางมาที่ร้านขายของชำของสุภาพสตรีสูงอายุคนหนึ่ง เขาเกิดไปสะดุดตาภาพถ่ายของชายคนหนึ่ง รูปก็ดูปกติดี เด็กชายในชุดที่แต่งจนหล่อเนี้ยบ แต่มันดูแปลกๆ เขาจึงถามหญิงชราว่า “นี่ใครกัน?” หญิงชราตอบกลับ พยายามจับแมวให้อยู่นิ่งๆ ในอ่างล้างจาน “ดูไม่ออกเหรอว่าเขาตายแล้ว แต่รูปนี้ดูดีนะ เธอว่ามั้ย?”

Post-mortem photography หมายถึง งานศิลปะ หรือภาพที่ใช้ระลึกถึงคนหลังความตาย เพราะเป็นการจัดศพของคนที่ตายไปแล้วมาแต่งหน้าทำผม แต่งตัว และถ่ายรูปให้เสมือนเขายังมีชีวิต (ทำท่าเหมือนนอนหลับ) ก่อนนำไปฝัง

การถ่ายภาพนี้นิยมในหมู่ชนชั้นกลางสมัยวิคตอเรียน ส่วนมากลูกค้ามักเป็นลูกสาว หรือทารก ซึ่งพ่อแม่เด็กรับไม่ได้ว่าพวกเขาตายไปแล้วเด็กที่ตายมักถูกจัดแสดงในการนอนพิงบนที่นอน หรือในเตียงนอนเด็ก บางครั้งการจัดท่ากับของเล่นโปรด ส่วนผู้ใหญ่จะวางท่าให้นั่งเก้าอี้ โดยมีเสาค้ำอยุ่นั่นเอง

นอกจากนี้ก็ยังมีลูกค้าที่เป็นบาทหลวงที่ตายแล้ว ก็ถูกนำมาแต่งเต็มยศ และนำไปไว้ในโบสถ์งานศพของเขาเสมือนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ (1945 ) หรือนักโทษประหารบางคนที่ถูกประหารด้วยกิโยตินซึ่งเมื่อคอเขาขาดก็นำมาต่อใหม่ และถ่ายรูปเอาไว้ เป็นต้น

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562

เรื่องในตำนาน เรื่อง The Headless Lover | หัวของชู้รัก !!


หญิงท้องคนหนึ่ง บอกสามีของเธอว่า “ลูกในท้องไม่ใช่ลูกเขาแต่เป็นลูกของผู้ชายอีกคน” ทำให้สามีของเธอโกรธมาก เลยตัดสินใจตัดหัวชู้รัก แล้วเอามาฝากภรรยาที่กำลังตั้งท้องแก่ มันเป็นเรื่องเล่าที่เล่าต่อๆ กันมาหลายแบบ แต่ส่วนมากก็ออกแนวประมาณนี้ซะส่วนใหญ่ คือ..

จ่าสิบเอก สตีเฟน แชพ (Sgt Stephen Schap) และ ไดแอน แชพ (Diane Schap) คู่รักพลเรือนทหาร ในค่ายที่เยอรมันนี ในปี 1993 จ่าสิบเอกได้ยินข่าวดีว่าภรรยาของเขากำลังตั้งท้อง แต่มันคงจะเป็นข่าวดีสุดๆ หรอกถ้าสตีเฟนไม่ได้ทำหมันแล้ว เขาเป็นหมันแล้วภรรยาท้องได้ไง?!...

ไดแอนจำต้องยอมรับว่า เธอไปมีชู้กับเพื่อนรักของสตีเฟน ชื่อ เกรกอรี่ โกลเวอร์ โชคร้ายสตีเฟนแก้แค้นเธอล้ำลึกกว่าที่เอาเก้าอี้ขว้างใส่เธออีก

ในธันวาคมตอนเย็น ไดแอนที่ตั้งครรภ์แก่ อยู่บนเตียงในโรงพยาบาล เธอโทรศัพท์ถึงชู้รักของเธอเกรกอรี่ แต่แล้วจู่ๆ สายเขาก็ขาดไป ไดแอนไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาในเวลานั้น และอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาสตีเฟนเข้ามาในห้องของเธอแล้วเขาก็ขว้างหัวสดๆ ของเกรกอรี่จากกระเป๋าหิ้วใส่หน้าเธอ จากนั้นสตีเฟนก็พูดว่า “ดูสิไดแอน ฉันพาคนรักของเธอมาให้แล้ว เธอจะได้นอนกอดเขาทั้งคืนทั้งวัน สมใจเลยแหละ” สตีเฟนกล่าวกับภรรยา นี้เป็นการแก้แค้นที่สะใจสำหรับเขา

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรื่องในตำนาน เรื่อง The Toxic Woman | เลือดเป็นพิษ !!


ผู้หญิงคนหนึ่งได้ล้มป่วย และเธอก็ถูกนำส่งโรงพยาบาล เมื่อนางพยาบาลใช้สายยาง เพื่อนำมาต่อกับถุงเลือดสำรอง กลับพบว่าเลือดเธอเป็นพิษ ทำให้นางพยาบาล และคนอื่นๆ ที่สัมผัสโดด หรือดมเลือดของเธอ เกิดอาการผิดปกติ และตายอย่างทรมานในเวลาต่อมา แต่มันคือเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นในอดีต!!

เมื่อเวลา 8:15 ในตอนเย็น เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์, 1994 กลอเรีย รามิเรซ (Gloria Ramirez) อายุ 31 ปี เกิดอาการป่วยต้องเข้าห้องภาวะฉุกเฉินของโรงพยาบาลในเมืองแคลิฟอร์เนียทางใต้ของริเวอร์ไซด์ ตอนนั้นเธอใส่เสื้อยืดคอกลมแขนสั้น มีอาการแปลกๆ คือหายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็วเกินไป ความดันเลือดสูง และเธอตอบสนองกับคำถามสั้นๆ เท่านั้น แต่ก็พูดตะกุกตะกัก โดยขั้นแรกนั้นคณะแพทย์สันนิษฐานว่าเธอเป็นมะเร็งที่คอ คณะแพทย์ที่รักษากลอเรีย ได้ทำการฉีดยาให้กับเธอ แต่เธอก็กระตุกเป็นระยะๆ ทำให้คณะแพทย์ต้องทำการปั๊มหัวใจเธอ เขาลอกเสื้อเชิ้ตของเธอออก และกดขั้วไฟฟ้าที่หน้าอกของเธอ ในระหว่างนั้นเอง บางคนได้กลิ่นของผลไม้ออกจากปากของเธอ แพทย์เลยทำการเจาะเลือดเพื่อวิเคราะห์ นางพยาบาลทำการแนบกระบอกฉีดยา เลือดของเธอมีสีแปลกๆ มีกลิ่นเหมือนแอมโมเนีย….

จากนั้นหายนะก็เกิด เมื่อเลือดของเธอพุ่งกระเด็นจากช่องรูเข็มฉีดยา ไปโดนหน้านางพยาบาลจนหน้าของเธอไหม้!! เธอล้มลงไปกับพื้น อาเจียน จากนั้นพยาบาลอีกคนก็ล้มชัก จากนั้นมันเริ่มลุกลามมายังคนใกล้เคียง จนผู้บริหารโรงพยาบาลออกประกาศภาวะฉุกเฉินภายใน ผลสุดท้ายมีผู้ป่วยจากเหตุการณ์นี้จำนวน 23 (คณะที่รักษาเธอมี 37 คน) ซึ่งทั้งหมดถูกจับ เพื่อเข้าเขตกักกังเชื้อโรคทั้งหมด โดยมีอาการเหมือนหญิงที่ป่วยในตอนแรกไม่มีผิด

ภายหลังก็ได้มีผลสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ว่า “หญิงคนนั้น และคนป่วยทั้งหมด เป็นหลายโรคมากๆ ทั้ง ฮิสทีเรียมวล, โรคตับอักเสบ, เนื้อเยื่อตาย, กระดูกผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยบางรายทนทุกข์ทรมาน และตายในสองสัปดาห์ให้หลัง” ส่วนตัวกลอเรียเธอตายหลังจากนั้น 40 นาทีหลังเธอเข้าโรงพยาบาล ผลชันสูตรศพ (แบบปลอดเชื้อสุดๆ) พบว่าเลือดของเธอเป็นพิษ สามารถระเหยเป็นไอได้ ใครสูดดม สามารถตายได้ทันทีเสมือนหนึ่งเป็นแก๊สพิษ

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรื่องในตำนาน เรื่อง The Curiously Realistic Decoration | ศพที่แขวนอยู่ !!


            ในวันฮาโลวีน เด็กๆ กำลังไปขอขนมตามบ้านเรือนต่างๆ ที่แต่ละบ้านตกแต่งต้อนรับวันนี้อย่างสนุกสนาน ทั้งโครงกระดูกปลอม หัวฟักทอง โลงศพ โดยหลายคนไม่สนใจเลยว่าตุ๊กตาแขวนคอต้นไม้ที่เหมือนของประดับมันเป็นศพของคนฆ่าตัวตายของจริง!!

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2005 พบศพหญิงนิรนามอายุ 42 ปีแขวนคอฆ่าตัวตายในสวนสาธารณะในฟลอริดา เดลาแวร์ หากแต่ศพนั้นห้อยต๋องแต๋งเหนือพื้นดิน 15 ฟุต หลายชั่วโมง โดยไม่มีใครสนใจเลย เนื่องจากคิดว่ามันเป็นของประดับวันฮาโลวีน ผู้คนผ่านไปเห็นศพนั้นหลายรายจนกระทั้งเพื่อนบ้านใกล้สถานที่เกิดขึ้นสังเกตร่างกายนั้นเมื่อเวลา 7:30 ในตอนเช้า

และ ในเดือนตุลาคม 2009 ก็เกิดเหตุทำนองนี้ขึ้นอีก เมื่อร่างกายของเหยื่อฆ่าตัวตายชื่อ MostafaMahmoud Zayed อายุ 75 ปีคนหนึ่งถูกพบในระเบียงของบ้าน Marina Del Rey, แคลิฟอร์เนีย เพื่อนบ้านบอกว่า “ที่พวกเขาไม่สังเกตเห็น และปล่อยศพทิ้งไว้ เพราะนึกว่าเป็นของตกแต่งวันฮาโลวีนนั่นเอง”

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรื่องในตำนาน เรื่อง The Body in the Bed | ศพใต้เตียง !!


             ชายหญิงคู่หนึ่งเดินทางไปลาสเวกัส เพื่อไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของพวกเขา ทั้งคู่ได้เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง และเมื่อทั้งคู่เข้ามาในห้องก็พบกลิ่นเหม็นเหมือนซากศพที่รุนแรงมาก พวกเขาพยายามหาที่มาของกลิ่นนั้น แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่พบ ทั้งคู่เลยเรียกผู้จัดการมาต่อว่า ผู้จัดการของโรงแรมได้ขอโทษและอธิบายว่าตอนนี้ห้องของโรงแรมเต็มหมดแล้ว เพราะมีการจัดประชุมที่นี้ จึงไม่สามารถหาห้องว่างห้องอื่นให้ได้ เขาเลยเสนอชดเชยด้วยอาหารฟรี มื้อกลางวันแทนการเปลี่ยนห้อง และจะส่งแม่บ้าน มาทำความสะอาดห้องให้ใหม่ ทั้งคู่จึงยอม และกลับมาที่ห้องเดิม…

แต่พวกเขากลับยังได้กลิ่นเหม็นเหมือนเดิม เลยเรียกผู้จัดการมาต่อว่าอีกครั้ง และขอให้เปลี่ยนห้องเดี๋ยวนี้ ผู้จัดการบอกว่าตอนนี้ห้องเต็มเหลือแต่ห้องวีไอพีเท่านั้น แต่ทั้งคู่พึ่งเสียเงินไปกับการพนัน เลยไม่มีเงินมาเช่าห้องที่ดีกว่านี้ ผู้จัดการเลยส่งแม่บ้านมาอีกครั้ง คราวนี้สั่งให้เปลี่ยนของใช้ในห้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดพรม เปลี่ยนผ้าเช็ดตัว เปลี่ยนผ้าม่าน วางตำแหน่งของต่างๆ ให้ต่างจากเดิม แต่ปรากฏว่าเมื่อทั้งคู่มาห้องนี้อีกครั้งก็พบกลิ่นเหม็นเหมือนเดิม ฝ่ายผู้ชายหมดความอดทน และโมโหจัดจึงทำลายของใช้ในห้องจนเกือบหมด และแล้วเมื่อเขาดึงที่นอนสปริงออกมา เขาก็ต้องตกใจสุดขีด!! เพราะมันมีศพผู้หญิงยัดอยู่ข้างในนั้น

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่นิยมกันในต่างประเทศ รวมถึงไทยด้วย เพื่อนๆ คงเคยได้ยินเรื่อง “ผีช่องแอร์” กันใช่มั๊ย นั้นแหละมีเค้าโครงมาจากเรื่องนี้เช่นกัน และบางครั้งรายละเอียดจะแตกต่างกันบ้าง แต่รวมๆ ก็แนวๆ นี้แหละ พักโรงแรม ได้กลิ่นเหม็นที่ห้อง และพบซากศพ ซึ่งตำนานที่ว่านี้ก็เป็นเรื่องจริงซะด้วย!! เมื่อมีเหตุการณ์ใกล้เคียงที่เกิดขึ้นจริงในการพบศพนิรนามที่ไม่สามารถระบุได้ว่ามันมาได้อย่างไรในเตียงนอนของโรงแรม อีกทั้งมันอยู่ที่นั้นมานานหลายวันกว่าที่จะถูกค้นพบ เช่น ในแอตแลนติกซิตี นิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา ปี 1999 มีการพบร่างของ ซาอูล (Saul Hernandez) อายุ 64 ในห้องของโรงแรม Burgundy Motor หลังจากสองนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันนอนค้างคืนในห้องนั้น และบ่นว่าห้องมีกลิ่นเหม็น จนออกมาบ่นกับผู้จัดการโรงแรมหลายครั้ง และแม่บ้านก็ไปทำความสะอาดห้องหลายครั้ง จนกระทั้งพบศพใต้เตียงดังกล่าว

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรื่องในตำนาน เรื่อง Mummy Fun house !!


              ระหว่างวันหยุด ชายหญิงคู่หนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกัน ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเพลิดเพลินกับเครื่องเล่นต่างๆ ก่อนที่จะจบลงที่ทั้งสองตัดสินใจไปเที่ยวบ้านผีสิง และข้างในบ้านผีสิงนั้น ทำให้ทั้งสองได้เห็นมัมมี่ และมันเหมือนจริงมาก ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง หรือแม้กระดูกของมันก็เหมือนมนุษย์เอามากๆ เลยทีเดียว ซึ่งมันสมจริงเกินกว่าที่จะทำด้วยไม้อัด

ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสำรวจอยู่นั้นเองก็พบว่า มันคือของจริง!! มันเป็นจริงซะงั้น!! OMG!!

เพื่อนๆ น่าจะคงเคยได้ยินมาบ้าง…ที่ว่าไปเที่ยวบ้านผีสิงอยู่ดีๆ กับพบศพของจริงซะงั้น และเรื่องนี้กลายเป็นจริงเหมือนกัน เมื่อเดือนธันวาคม ปี 1976 ทีมงานสร้างภาพยนตร์โทรทัศน์ชุด (เรื่องThe Six Million Dollar Man) ได้ยกกองไปถ่ายทำบ้านผีสิง (Amusement Park in Long Beach) ในสวนสนุกลองบีช แคลิฟอร์เนีย ที่มีมัมมี่ตัวหนึ่งแขวนอยู่ การถ่ายทำดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกระทั้งคนงานในกองถ่ายคนหนึ่ง ร้องเอะอะขึ้นมาด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อแขนข้างหนึ่งของมัมมี่เกิดหลุดร่วงลงมาที่พื้น เศษเนื้อเศษหนังที่หุ้มกระดูกมนุษย์กระจายเกลื่อนเต็มพื้น ทำให้เขาถึงกลับตกใจร้องออกมาด้วยความกลัว ที่มันไม่ใช้มัมมี่ของปลอม หากแต่มันเป็นของจริง!!

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2562

เรื่องในตำนาน เรื่อง The Living Severed Head !!


              เป็นความเชื่อของคนหลายคนทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะแค่อเมริกาเท่านั้น โดยเชื่อว่าเมื่อคนโดนตัดหัวหลุดจากบ่า แต่แล้วหัวนั้นมันมีชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง มันยังคงพะงาบๆ และมันเหลือบมองหน้าคนตัดอย่างอาฆาต!! และมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น!! เมื่อหัวเราหลุดจากบ่า เรายังมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหม เราสามารถกระพริบตาพะงาบๆ สมองยังทำงานได้ไหม?

เรื่องเหล่านี้เริ่มขึ้นในช่วงที่กิโยติน หรือเครื่องตัดหัวเป็นที่นิยมใช้ประหารนักโทษ ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นการประหารที่ทำให้ผู้ถูกประหายรตายอย่างรวดเร็ว สมองไม่เสียหาย เวลาประหารแต่ละที จะทำท่ามกลางประชาชนที่มามุมแน่นขนัด และนั้นเองทำให้พวกเขามีโอกาสเห็นหัวยังมีชีวิตอยู่

หนึ่งในนั้นคือ สมัยปฏิวัติฝรั่งเศส วันที่ 17 กรกฎาคม 1793 สาวนาม ชาร์ล็อตต์ คอร์เดย์ (Charlotte Corday) สาวบ้านนอกที่ได้ทำการฆาตกรรม พอล มารัต (Jean-Paul Marat) เธอถูกประหารด้วยกิโยตินซึ่งหลังจากคมมีดตัดเอาศีรษะเธอกระเด็นออก ผู้ช่วยประหารคนหนึ่งหยิบหัวเธอมา แล้วตบแก้ม พยานโดยรอบยืนยันว่าดวงตาของเธอกลอกมามองเขาพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจ และได้พูดคำว่า “ไม่ได้” (couldn) หลังจากนั้น ผู้คนที่จะถูกประหารด้วยกิโยตินก็จะถูกขอให้กระพริบตา ผลคือมีนักโทษหลาย คนแสดงให้เห็นว่าแม้ถูกตัดหัวตนก็ยังมีชีวิตอยู่

และใน 1905 จากหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่าแม้ถูกตัดหัวแล้ว สมองของคุณ ก็ยังคงสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้นานหลายวินาทีก่อนที่จะตาย โดยหนึ่งในนั้นมาจากงานทดลองของดอกเตอร์ โบเรียคซ์ (Beaurieux) ผู้ซึ่งทำการทดลองจากฆาตกรฝรั่งเศสชื่อ แลงกุยล์เลอ (Languille) หลังจากเขาถูกแท่นตัดคอนักโทษด้วยเครื่องประหารด้วยกิโยติน (แท่นตัดคอนักโทษที่ถูกออกแบบให้ประหารแบบมนุษยธรรม) ตาของ แลงกุยล์เลอ และปากยังคงขยับนานถึงห้า ถึง หกวินาทีด้วยกัน และต่อมาเมื่อโบเรียคซ์ ตะโกนเรียกชื่อนักโทษ ก็พบเรื่องอันน่าขนลุกเมื่อ ตาของ แลงกุยล์เลอเปิดออกอีกครั้ง และจ้องมองเขา ทำให้เกิดความเชื่อว่า “เมื่อคนหัวขาดอาจสามารถคลองสติได้ 15 วินาที” แพทย์สมัยใหม่เชื่อว่าปรากฏการณ์ดังกล่าว “เกิดจากการ reflex ของกล้ามเนื้อ (คือกล้ามเนื้อกระตุกจากการสูญเสียเลือด หรือการควบคุม ทำให้ตากระพริบ หรือกลอกตาไปมานั่นเอง)”

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรื่องในตำนาน เรื่อง The Clown Statue / The Clown Doll !!


             ชาวอเมริกันบางคนอาจจะเกิดอาการกลัวตัวตลก (จากการวิเคราะห์ของนักจิตวิทยาพบว่าเด็กส่วนใหญ่ไม่ชอบตัวตลก) ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ภาพยนตร์หลายเรื่องมักใช้ตัวตลกมาทำเป็นสัตว์ประหลาดทำร้ายคน นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าที่น่าขนหัวลุกเกี่ยวกับตัวตลกอีกว่า

ซึ่งเรื่องเริ่มขึ้นว่าในระหว่างที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ในช่วงเวลากลางดึกของคืนวันหนึ่ง ระหว่างที่พ่อ-แม่กำลังดูทีวีอยู่ในห้องนอนนั้น ลูกของเขาก็ได้เดินเข้ามาในห้องของเขา พ่อ-แม่จึงถามว่า “ทำไมยังไม่นอนอีกล่ะลูก” แล้วเด็กก็ตอบกลับไปว่า “พ่อ-แม่ช่วยไปจัดการกับตุ๊กตาตัวตลกในห้องให้ผมทีนะครับ มันจ้องหน้าผมตลอดเลย จนทำให้ผมนอนไม่หลับ” เมื่อพ่อ-แม่ได้ยินแบบนั้นถึงกับอึ้งไปเลย เพราะว่าที่บ้านของพวกเขาไม่เคยซื้อตุ๊กตา หรือรูปปั้นตัวตลกเลย แล้วนั่นมันคืออะไร? ที่ลูกของเขาเห็น…

ด้วยความกลัวพวกเขาจึงรีบโทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจทันที แต่เมื่อตำรวจเข้าไปตรวจสอบภายในห้องก็ไม่รูปปั้นตัวตลกเลย แต่กลับพบร่องรอยของการบุกรุกจากภายนอก ซึ่งตำรวจได้สันนิษฐานว่าเป็นคนจรจัด ไม่ก็คนบ้าได้ปลอมเป็นตัวตลกแอบเข้ามาในบ้าน และเรื่องเล่าดังกล่าวก็เคยถูกนำมาแต่งเป็นนิยายของ สตีเฟ่น คิง และถูกนำมาเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Stephen King’s It (1990) หรือเรื่อง Killer Klowns (1988), Clownhouse (1990) ที่นำเสนอเป็นสัตว์ประหลาดที่มันจะออกมากินเด็กในเมืองนั้น และมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น?

ต่อมาในปี 1990 ที่ West Palm Beach ฟลอริด้า หญิงสาวคนหนึ่งชื่อ “เชียลา” (shelia keen) อายุ 27 ปีถูกยิงตายโดยผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่า “คนที่ฆ่าเธอนั้นได้แต่งตัวเป็นตัวตลกใส่วิกซ์ผมสีทอง” (และคดีนี้ไม่สามารถไขได้ จนกลายเป็นคดีปริศนาในเวลาต่อมา) แต่ฆาตกรตัวตลกนี้ก็เทียบไม่ได้กลับฆาตกรต่อเนื่องอย่าง จอห์น เวยน์ เกซี (John Wayne Gacy 1942-1994) ที่ทำการฆาตกรรมฆ่าข่มขืนเด็กหนุ่ม 33 ชีวิตในระหว่างปี 1970-1978 ในเมืองชิคาโก้ รัฐอิลินอยส์ เขาถูกตั้งฉายาว่า “ฆาตกรตัวตลก” เนื่องจากเขาชอบ แต่งตัวเป็นตัวตลกไปเยี่ยมเด็กๆ ในโรงพยาบาล หรืองานกุศล สุดท้ายเขาก็ถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษเข้าเส้นเลือด

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรื่องเล่าชวนขนหัวลุก เรื่อง ลิฟต์ตึก 3 !!


         เราขออธิบายก่อนว่า ตึก 1 และ ตึก 2 เป็นตึกคู่กันนะ ไม่มีลิฟต์ในตัวอาคาร มีแต่ลิฟต์นอกตัวอาคารทั้งสอง ที่สร้างขึ้นมาใหม่ เป็นปล้องๆ ยาวๆ คล้ายๆ ลิฟต์แก้ว จะจอดแค่ชั้น 1 และ ชั้น 4 เท่านั้น แล้วจะมีทางเชื่อมตึกให้เดินเอานะ ส่วนเรื่องของลิฟต์โรงพยาบาลเก่านั้น คือลิฟต์ตึก 3 เพราะหลายคนล้วนโดนมากับตัว (แต่เราก็ไม่รู้ประวัติความเป้นมาที่แน่นอนมากหนักนะ) แต่ที่รู้ก็คือ ลิฟต์ของตึก 3 จะเป็นลิฟต์ที่มีขนาดกว้าง และใหญ่กว่าลิฟต์ปกติทั่วไป เรียกง่ายๆ ว่ากว้างเท่ากับโรงพยาบาลที่เราเคยไปกันนั้นแหละ ด้วยความเฮี้ยนของลิฟต์ฝั่งซ้ายมือ (ถ้าหันหน้าเข้าหาตัวตึก) รวมๆ แล้วตึกนี้มีลิฟต์ทั้งหมด 6 ตัว แต่ที่มันแปลกๆ ก็คือ ลิฟต์ตัวเก่าๆ ที่มันถูกซ่อนอยุ่แถวห้องน้ำเนี่ยแหละ เพราะว่าบางครั้งที่มีนักศึกษาไปขึ้นลฟต์นั้น ลิฟต์จะร้องเตือนว่าน้ำหนักเกิน!! สะงั้น ทั้งๆ ที่ก้ขึ้นกันไปแค่ 2-3 คนเท่านั้นเอง แต่ยังไม่หมดแค่นี้เพราะว่า บางครั้งกดลิฟต์ลงชั้นล่าง แต่มันดันขึ้นไปข้างบนเฉยเลย ทั้งๆ ที่ก็ไม่มีใครกดเลยสักคน ทำเอานักศึกษาไม่กล้าขึ้น เดินขึ้น-เดินลง ท่าทางน่าจะง่ายกว่า ไม่ต้องหลอนกันด้วย

นอกจากนี้บางคนยังบอกว่าที่นี้ไม่ใช่โรงพยาบาลเก่า แต่ว่าเคยมีคนเสียชีวิตในลิฟต์ต่างหาก เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ตึก 3 จะเป็นที่สำหรับการเรียนของเด็กภาคค่ำ อยู่มาวันนึงในคืนวันศุกร์ หลังจากที่เรียนกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจะกลับบ้าน หลังจากลงลิฟต์มาถึงชั้น 1 แล้วนึกขึ้นได้ว่าลืมกระเป๋าไว้ในห้องเรียน จึงขึ้นลิฟต์ไปเอา พอได้กระเป๋ามาแล้วก็กำลังลงลิฟต์มา ลุงยามที่เป็นคนคอยดูแลตึก เห็นว่านักศึกษากลับกันไปหมดแล้ว ด้วยความไม่ตั้งใจ จึงไขกุญแจปิดลิฟต์ทุกลิฟต์ รวมถึงลิฟต์ที่ผู้หญิงคนนั้นใช้อยู่ด้วย พอมาวันจันทร์ตอนเช้า มีคนพบศพของนักศึกษาหญิงคนนั้นเสียชีวิตอยู่ในลิฟต์โดยมีสภาพศพขึ้นอืด… และยังมีคนบอกอีกว่า นอกจากจะมีนักศึกษาเสียชีวิตในลิฟต์แล้วยังมีคนงานก่อสร้างตกมาตายด้วย

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรื่องเล่าชวนขนหัวลุก เรื่อง ลิฟต์แม่บ้าน !!


                     เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น้องผมโดนมากับตัวเลย เธอเป็นสาวประเภทสองชื่อน้องน้ำ คือที่ตึกนิเทศฯ จะมีลิฟต์ตัวที่แม่บ้านใช้ทำงานอยู่ เป็นลิฟต์ที่สีสันโดดเด่นมาก (สีม่วงเหลือง) เด็กหลายๆ คนก็จะรู้จักกันในนามลิฟต์แม่บ้าน วันนั้นน้องน้ำก็ไปเรียนตามปกติ กลางวันแดดเปรี้ยงๆ เลย ก็ขึ้นลิฟต์แม่บ้านไปพร้อมกดชั้น 5 แต่ลิฟต์ดันไปเปิดที่ชั้น 3 ทั้งๆ ที่ลิฟต์ตัวนี้ไม่มีให้ปุ่มกดออกที่ชั้น 3 พอเปิดชั้น 3 น้องน้ำก็ได้ยินเสียงผู้ชายพูดว่า “รอด้วย” น้ำชะโงกหน้าออกไปดูก็ไม่เห็นเงาใครแม้แต่คนเดียว (ถึงตรงนี้น้ำชักเริ่มเสียวสันหลังละ) จากนั้นลิฟต์ก็ขึ้นต่อไปยังชั้น 5 ระหว่างที่อยู่ในลิฟต์ น้ำก็เล่าว่าไม่รู้หลอนเพราะกลัวหรือเปล่า แต่รู้สึกเหมือนมีลมหายใจมารดที่ต้นคอตลอดเวลา ในที่สุดก็ถึงชั้น 5 พอลิฟต์เปิดน้ำก็สาวเท้าออกมาโดยไว จังหวะที่ลิฟต์กำลังจะปิดนั้นเอง ที่น้ำได้ยินเสียงผู้ชายคนเดิมอีกครั้งว่า “ทำไมไม่รอ… ทำไมไม่รอ…”

เพิ่มเติมจ้า >> ตึกนิเทศฯ คือ ตึก 8 ตึกนี้ลิฟต์แม่บ้านชอบขึ้นเพราะไวมาก มันจะจอดแค่ชั้น 5 กับ 6 ชั้นอื่นไม่มีปุ่มให้กด และชั้น 3 มันโบกปูนไว้ด้วย คือไม่รู้ว่าสมัยก่อนมันโบกไว้รึเปล่า แต่ลิฟต์นี้ไม่มีชั้น 3 มาตั้งแต่ผมเรียนแล้ว แต่ตึกนี้ตอนกลางคืนมืดจนน่ากลัวมาก

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรื่องเล่าชวนขนหัวลุก เรื่อง พี่จุก!!


            พี่จุกอีกแล้วนะครับ (คือต้องเข้าใจก่อนว่าอะไรที่เป็นรูปร่างแบบกุมารเด็กสมัยก่อนที่ไว้ผมจุก คนไทยเราจะเหมาเรียกรวมเหมือนกันว่าพี่จุกหมด) พี่จุกของที่นี่ เค้าอยู่ที่ศูนย์วัฒนธรรมของมหาวิทยาลัย ลักษณะจะเป็นรูปปั้นเด็กไทยไว้ผมจุกโบราณ เล่นตีวงล้ออยู่เห็นได้เด่นชัด (ตีวงล้อจะเป็นประมาณของเล่นเด็กไทยสมัยก่อน เป็นวงล้ออันใหญ่ๆ แล้วเด็กก็จะเอาไม้ตีให้มันวิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ) เล่ากันว่าหากมาเดินคนเดียวดึกๆ บริเวณนี้ บางทีอาจจะได้เห็นพี่จุกกระโดดลงมาจากแท่นปั้น แล้วมาชวนเราตีวงล้อเล่นกับเค้า (ถ้าเจอเค้าชวนต้องเล่นนะครับ ไม่งั้นงานงอกแน่ๆ)

เพิ่มเติม >> พี่จุกเป็นรูปปั้นโลหะหากเดินผ่านๆ จะเห็นว่าเล่นห่วงอยู่ แต่เล่ากันว่าเดินผ่านเผินๆ อาจจะเห็นว่าเล่นของเล่นอย่างอื่นอยู่แทน พอเราหันกลับไปมองอีกทีก็ไม่มีอะไรแล้ว ข้างหลังพี่จุกเป็นเรือนไทย เรื่องนี้เกิดกับเชียลีดเดอร์เป็นพี่ของแฟนผม คือ ซ้อมเชียร์ดึกดันไปซ้อมใต้ถุนเรือนไทยเสียงดัง หัวหน้าเชียร์เหลือบไปเห็นคนเดินลงมานั่งยองๆ มองลอดช่องบันไดเรือนไทยดูพวกเค้าซ้อม แยกย้ายเลยครับ บริเวณนั้นด้านบนมีพ่อแก่เก็บไว้ด้วย ท่านคงมาเตือน

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2562

เรือผีสิงในตำนาน เรื่อง The Caleuche !!


       เป็นตำนานเรือผีที่หลายคนรู้จักดี เป็นเรือผีที่มักปรากฏตัวที่หมู่เกาะชิโลเอ้ ทางตอนใต้ของประเทศชิลี ตามตำนานของคนท้องถิ่นเล่าว่า เรือผีนี้กำเนิดขึ้นจากดวงวิญญาณของคนจมน้ำในทะเล โดยสาเหตุมาจากสามพี่น้องเงือก ที่หลอกล่อเรือให้อัปปาง จนวิญญาณดังกล่าวไม่ผุดไม่เกิดรวมตัวจนกลายเป็นเรือผี ซึ่งมักปรากฏขึ้นทุกคืน (บางตำนานเล่าว่าเป็นเรือผีที่เกิดจากเวทมนต์หมอผีที่มักลักพาตัวชาว ประมงและชาวเรือให้กลายสัตว์เป็นประหลาดเพื่อให้เป็นทาสทำงานเป็นลูกเรือ ชั่วกาล นาน) โดยมันมักปรากฏเป็นเรือใบโบราณขนาดใหญ่อลังการและสวยงาม เต็มไปด้วยดวงไฟพร้อมกับเสียงดนตรีและเสียงคนหัวเราะจำนวนมากมาย และหลังจากมันปรากฏตัวแล้วเรือจะหายไปหรือจมดิ่งไปใต้ทะเล

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรือผีสิงในตำนาน เรื่อง เรือบรรทุกสินค้า !!


          เรื่องราวได้เริ่มต้นขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 1948 เมื่อเรืออเมริกันได้รับข้อความแปลกประหลาดจากเรือบรรทุกสินค้าของชาวดัตช์ Ourang Medan ในขณะไปช่องแคบมะละกา นอกชายฝั่งของประเทศมาเลเซีย – ที่อินโดนีเซีย

โดยข้อความระบุว่า สมาชิกทั้งหมดบนเรือกำลังจะตาย ก่อนปิดท้ายด้วยคำว่า “ฉันตาย” และเมื่อคนในเรืออเมริกันได้รับข้อความนี้ต่างแล่นเรืออย่างรวดเร็วเพื่อช่วยเหลือ หากแต่สิ่งที่พวกเขาเจอในเรือดังกล่าวก็คือ ลูกเรือทั้งหมดและกัปตันเรือดังกล่าวตายหมดแล้วตาของพวกเขาเปิดโพลงใบหน้ามอง แขนยื่นไปยังดวงอาทิตย์ (บางคนเอามือชี้ไปยังสิ่งที่มองไม่เห็น) และใบหน้าของเขาแสดงสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด แม้แต่สุนัขบนเรือก็ตายโดยสภาพเหมือนกับว่ามองเห็นศัตรูที่มองไม่เห็นบางอย่าง

และในระหว่างเรืออเมริกันกำลังลากเรือลำนี้นั้น ก็ได้เกิดไฟลึกลับ ทำให้ต้องตัดลวดที่ล่ามกับเรือนี้ออก และเรือเจ้าปัญหาก็เกิดระเบิดขึ้นและจมหายไปในท้องทะเลในที่สุด ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ยังเป็นปริศนาที่หาข้อสรุปไม่ได้ บางคนบอกว่าเรืออาจถูกโจมตีโดย UFO หรือพื้นที่สามเหลี่ยมอาถรรพณ์ แต่คนไม่เชื่อก็บอกว่าอาจเกิดพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ หรือเรืออาจบรรทุกสินค้าวัสดุอันตรายต้องห้ามที่ผิดกฎหมายจำพวกพิษที่ทำให้ หายใจไม่ออกและเกิดรั่วขึ้น แต่จนถึงทุกวันนี้เรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือ และลูกเรือทั้งหมดของเรือยังคงลึกลับ

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรือผีสิงในตำนาน เรื่อง เรือบรรทุกสินค้า !!


          เรื่องราวได้เริ่มต้นขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 1948 เมื่อเรืออเมริกันได้รับข้อความแปลกประหลาดจากเรือบรรทุกสินค้าของชาวดัตช์ Ourang Medan ในขณะไปช่องแคบมะละกา นอกชายฝั่งของประเทศมาเลเซีย – ที่อินโดนีเซีย

โดยข้อความระบุว่า สมาชิกทั้งหมดบนเรือกำลังจะตาย ก่อนปิดท้ายด้วยคำว่า “ฉันตาย” และเมื่อคนในเรืออเมริกันได้รับข้อความนี้ต่างแล่นเรืออย่างรวดเร็วเพื่อช่วยเหลือ หากแต่สิ่งที่พวกเขาเจอในเรือดังกล่าวก็คือ ลูกเรือทั้งหมดและกัปตันเรือดังกล่าวตายหมดแล้วตาของพวกเขาเปิดโพลงใบหน้ามอง แขนยื่นไปยังดวงอาทิตย์ (บางคนเอามือชี้ไปยังสิ่งที่มองไม่เห็น) และใบหน้าของเขาแสดงสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด แม้แต่สุนัขบนเรือก็ตายโดยสภาพเหมือนกับว่ามองเห็นศัตรูที่มองไม่เห็นบางอย่าง

และในระหว่างเรืออเมริกันกำลังลากเรือลำนี้นั้น ก็ได้เกิดไฟลึกลับ ทำให้ต้องตัดลวดที่ล่ามกับเรือนี้ออก และเรือเจ้าปัญหาก็เกิดระเบิดขึ้นและจมหายไปในท้องทะเลในที่สุด ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ยังเป็นปริศนาที่หาข้อสรุปไม่ได้ บางคนบอกว่าเรืออาจถูกโจมตีโดย UFO หรือพื้นที่สามเหลี่ยมอาถรรพณ์ แต่คนไม่เชื่อก็บอกว่าอาจเกิดพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ หรือเรืออาจบรรทุกสินค้าวัสดุอันตรายต้องห้ามที่ผิดกฎหมายจำพวกพิษที่ทำให้ หายใจไม่ออกและเกิดรั่วขึ้น แต่จนถึงทุกวันนี้เรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือ และลูกเรือทั้งหมดของเรือยังคงลึกลับ

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรือผีสิงในตำนาน เรื่อง เรือใบซคูเนอร์ !!


              เป็นชื่อเรือของเรือใบซคูเนอร์ ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นเรือพาณิชย์ และถูกพบเกย์ตื้นในแหลม Hatteras ทางทิศเหนือของคาโรไรน่า เมื่อปี 1921 หลังจากที่เดินทางขนส่งถ่านหินไปทวีปอเมริกาใต้ที่รีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิลเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 1920 ก่อนที่จะหายไปและปรากฏตัวเมื่อ 31 มกราคม 1921 ที่แหลมดังกล่าว

จากการตรวจสอบพบว่าลูกเรือบนเรือหายตัวไปอย่างลึกลับไร้ร่องรอย อุปกรณ์หลายชิ้นบนเรือยังใช้ได้ แต่อุปกรณ์นำทางและสมุดจดรายการต่างๆ หายไป ในห้องครัวของเรือปรากฏว่าอาหารบางอย่างได้ถูกเตรียมไว้สำหรับมื้ออาหารใน วัน ถัดไปแต่ถูกยกเลิกกลางคันเสียก่อน สุดท้ายเรือลำนี้ก็ถูกปลดและถูกทำลายโดยระเบิดเพื่อป้องกันในการนำมันมาใช้ งานอีกครั้ง แต่ปริศนาคนหายในเรือนี้ยังถูกกล่าวขานต่อไปหลายคนเชื่อว่าและลูกเรือลำนี้ เป็นเหยื่อของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

เมื่อวันที่ 11 เมษายน 1921 มีคนชื่อเกรย์ได้อ้างว่าพบข้อความในขวดลอยน้ำที่ข้อความที่เชื่อว่าเป็นข้อ ความที่จะไขปริศนาเรือนี้ได้ โดยข้อความนี้เป็นอักษรสีเทาที่เขียนว่า “DEERING CAPTURED BY OIL BURNING BOAT SOMETHING LIKE CHASER. TAKING OFF EVERYTHING HANDCUFFING CREW. CREW HIDING ALL OVER SHIP NO CHANCE TO MAKE ESCAPE. FINDER PLEASE NOTIFY HEADQUARTERS DEERING.”

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรือผีสิงในตำนาน เรื่อง เรือสินค้า เบย์ชิโม่ !!


         หนึ่งในกรณีที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดเกี่ยวกับเรือผีของจริง ก็คือกรณีเรือสินค้าเดินสมุทรลำหนึ่งชื่อ “เบย์ชิโม่” ที่ถูกทิ้งจนเป็นเรือร้าง แต่มันสามารถลอยทะเล ท่องมหาสมุทรแถวอลาสก้ากว่า 38 ปีโดยไม่มีกัปตันและลูกเรือขับมันเลยแม้แต่คนเดียว … โดยเรือลำดังกล่าวเป็นของบริษัทฮัดสันส์เบย์ สร้างขึ้นใน 1914 เรือขนส่งสินค้าบนเส้นทางระหว่างแคนาดาและอลาสกา ดังนั้นเรือนี้จึงออกแบบแข็งแกร่งเป็นพิเศษเพื่อทนต่อสภาพอากาศและสภาพท้องทะเลแถบขั้วโลกเหนือที่เต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็ง

จนกระทั่งในปี 1931 เรือเบย์ชิโม่ก็ถูกขังอยู่ในก้อนน้ำแข็งใกล้อลาสก้า และหลังจากพยายามและหาวิธีมากมายในการแก้ปัญหานี้ แต่ปรากฏว่าล้มเหลว กัปตันและลูกเรือจึงต้องออกจากพื้นที่ ที่เรืออยู่เพื่อความปลอดภัยหลังจากเกิดพายุหิมะ จากนั้นเวลาต่อมาเรือก็ถูกทิ้ง และเมื่อคนของบริษัทกลับมาดูอีกทีก็พบว่ามันหายไป คาดว่ามันคงจมสู่ก้นทะเลไปแล้ว หากแต่ว่ามันกลับเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องลึกลับในเวลาต่อมา

เมื่อมีคนเห็นเรือเบย์ชิโม่ลอยไปมารอบๆ อลาสก้าหลายครั้ง และหายไปทุกครั้งอย่างไร้ร่องรอยเมื่อทีมกู้เรือมาถึง และหลายครั้งที่หลายคนเห็นมันติดผืนน้ำแข็งก่อนที่จะหายไปเมื่อละสายตา จนมันถูกเรียกขานว่า เรือปีศาจแห่งอาร์กติก และครั้งสุดท้ายที่มันปรากฏคือปี 1969 ในสภาพที่มันกำลังหลุดออกจากผืนน้ำแข็งอลาสก้า และมันหายไปตลอดกาล จวบจนปัจจุบันไม่มีใครรู้ว่าเรือเบย์ชิโม่หายไปไหน หลายฝ่ายเชื่อว่ามันคงจมอยู่ใต้ท้องทะเลเพราะหมดสภาพ หรือมันยังคงล่องลอยอยู่ในทะเลน้ำแข็งแถบขั้วโลกเหนืออยู่ไม่ได้ไปไหน

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2562

เรือผีสิงในตำนาน เรื่อง เรือยอชท์ !!


เป็นชื่อเรือ ยอชท์ ยาวกว่า 21 เมตร ถูกสร้างในปี 1931 และผ่านมือมาหลายคน จนกระทั่งถูกทำให้กลายเป็นเรือประมงเช่าเหมาลำในที่สุด และเรื่องราวลึกลับก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 3 ตุลาคม ในปี 1955 เมื่อเรือบรรทุกผู้โดยสารกว่า 25 ชีวิต บนเรือนี้ได้หายไปอย่างลึกลับในแปซิฟิกใต้ โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ 5.00น.

เรือได้ออกเดินทางจากท่าเรือไปยังหมู่เกาะโตเกลา (ระยะห่างกว่า 430 เมตร) บนเรือประกอบด้วยเจ้าของเรือ พร้อมลูกเรือ 16 คนและผู้โดยสาร 9 คน (หนึ่งในนั้นมีศัลยแพทย์ชื่อดังชื่อ อัลเฟรด “แอนดี้” เดนิส พาร์สัน รวมอยู่ด้วย) ต่อมาในวันที่ 6 ตุลาคมเรือก็ถูกระบุว่า ค้างหนี้ชำระ แต่กระนั้นมันก็ได้หายไปโดยไม่มีการติดต่ออีกเลย ทำให้มีการค้นหาทางอากาศครั้งใหญ่ครอบคลุมพื้นที่น่าจะเป็นไปได้ถึง 260,000 ตารางกิโลเมตรในมหาสมุทร แต่ไม่พบเรือดังกล่าวเลย

จนกระทั่ง 5 สัปดาห์ต่อมา (10 พฤศจิกายน) เรือก็ถูกพบแถวเส้นทางเดินเรือจากซูวาไปฟูนะฟูตี ในสภาพจมเป็นบางส่วนและเครื่องยนต์หลายเครื่องเกิดความเสียหาย และไม่มีร่องรอยเกี่ยวกับผู้โดยสารหรือลูกเรือ สินค้าหนักกว่า 4 ตันได้หายไป ส่วนหลักฐานที่น่าสนใจบนเรือก็มีนาฬิกาบอกเวลาที่หยุดเมื่อ 10.25น. แสดงให้เห็นว่าเป็นเวลาที่เกิดเหตุและน่าจะเป็นตอนกลางคืน วิทยุเรือถูกปรับเพื่อขอความช่วยเหลือสากล และมีการพบกระเป๋าแพทย์บนด่านฟ้าข้างในมีผ้าพันแผลและมีดผ่าตัดที่เปื้อนเลือด เรื่องราวของเรือลำนี้ยังคงความลึกลับถึงปัจจุบัน โดยทฤษฏีที่นิยมมากที่สุดคือโจรสลัดฆ่าและร่างกายของพวกลูกเรือถูกโยนลงน้ำ หรือไม่ก็ถูกลักพาตัว หรือโกงเงินประกันภัย

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรือผีสิงในตำนาน เรื่อง เรือ ออค-ตา-เวียค !!


      ตำนานออคตาเวียคนั้นไม่สามารถยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ หากแต่เรื่องราวของเรือดังกล่าวได้เล่าขานจนมีชื่อเสียงไม่แพ้เรือผีทุกเรื่องในเรื่องโชคชะตากรรมที่น่าสยดสยองของลูกเรือในลำดังกล่าว ที่เต็มไปด้วยเรื่องลี้ลับเป็นอย่างยิ่ง

โดยตำนานนี้ได้อ้างว่า ในปี 1775 เรือล่าวาฬลำหนึ่งชื่อเฮราลด์ ได้สะดุดพบเรือออคตาเวียสเข้าโดยบังเอิญ นอกชายฝั่งกรีนแลนด์ในสภาพจับตัว เป็นน้ำแข็งไม่สามารถไปไหนได้ โดยเรือลำนี้เป็นเรือที่ออกจากประเทศอังกฤษเมื่อปี 1761 และหายสาบสูญไปถึง 13 ปี แต่ตอนนี้มันปรากฏขึ้นมาอีกครั้งต่อหน้าลูกเรือเฮราลด์

ซึ่งกัปตันและลูกเรือเฮราลด์ได้ไปสำรวจเรือดังกล่าวก็พบร่างของลูกเรือนอน ตายอยู่ที่นอนคลุมร่างกายไว้ด้วยผ้าห่มหนา ร่างกายถูกแช่แข็งเหมือนอยู่ในสภาพที่เย็นจัด นอกจากนี้ยังพบเด็กผู้หญิงที่ตายคลุมด้วยผ้าห่มเหมือนลูกเรือเช่นกัน ส่วนกัปตันเรือตายในลักษณะนั่งคว่ำหน้าทับสมุดบันทึกเดินเรืออยู่ ในมือถือปากกาเหมือนจะเขียนอะไรบางอย่าง มีกองไม้ที่ถูกเหลาไว้แสดงให้เห็นถึงความพยายามเป็นครั้งสุดท้ายที่จะจุดไฟ แต่ก็หมดหวัง

เมื่อพวกเขาอ่านบันทึกเรือก็ตกใจมาก เพราะว่าบันทึกดังกล่าวบอกว่าเรือนั้น เริ่มจับตัวเป็นน้ำแข็งในขณะที่เรืออยู่ตอนเหนือของอลาสก้า เมื่อเดือน พฤศจิกายน ค.ศ. 1762 แสดงให้เห็นว่า เรือนี้หายสาปสูญและเดินทางอย่างไม่มีจุดมุ่งหมายมานานถึง 13 ปี มันสามารถแล่นเรือได้อย่างไร ในเมื่อลูกเรือทั้งลำตายหมดแล้วนอกเสียจากลูก เรือกับกัปตันเป็นผี ก่อนที่เรือจะหยุดลงเพราะติดน้ำแข็งที่เกาะกรีนแลนด์ดังกล่าว และทุกวันนี้ไม่มีใครรู้เส้นทางเดินเรือที่แท้จริงของเรือที่เผชิญโศกนาฏกรรมดังกล่าวเลย

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรือผีสิงในตำนาน เรื่อง เรือเลดี้ โลวี่บันด์ !!


             ในประเทศอังกฤษ มีตำนานอันยาวนานเกี่ยวกับเรือผี ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ เรือเลดี้ โลวี่บันด์ ซึ่งเป็นเรือใบสกูเนอร์ ผีที่มีชื่อเสียงมากที่สุด โดยเรื่องราวของเรือนี้เริ่มขึ้นในเดือน 13 กุมภาพันธ์ 1748 กัปตันเรือเลดี้ โลวี่บันด์ ชื่อไซม่อน พีล (Simon Peel) ได้ตัดสินใจเอาเรือออกมาเฉลิมฉลองงานแต่งงานของเขาที่นอกชายฝั่งอังกฤษ โดยความเชื่อดั้งเดิมนั้นหากเรานำผู้หญิงขึ้นเรือไปด้วยจะนำความหายนะสู่เรือนั้นๆ และปรากฏว่าเป็นเช่นนี้จริง

เมื่อต้นหนประจำเรือคนหนึ่งเกิดไปหลงรักภรรยาของกัปตันเรือไซม่อนเข้า ทำให้เขาเกิดความริษยา ความโกรธและความหึงหวง และในวันนั้นเองในขณะที่กัปตันหนุ่มและแขกกำลังฉลองการแต่งงานที่ด่านฟ้า ต้นหนเรือได้บังคับเรือเลดี้ โลวี่บันด์ให้เป็นเรือมฤตยู ผลสุดท้ายเรือก็เกิดอุบัติเหตุที่แหลมกู๊ดวินด์ทางชายฝั่งตะวันออกเฉียง เหนือของอังกฤษ ทุกคนบนเรือตายเกลี้ยง หลังจากนั้นเป็นต้นมาในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ เมื่อเวลาผ่านไปทุกสิบห้าปี เรือเลดี้ โลวี่บันด์จะปรากฏตัวในฐานะเรือผี ครั้งแรกปรากฏในปี 1798 ต่อมา 1848, 1898, 1948 ในลักษณะแตกต่างกันออกไป เช่นเรือในรูปซากปรักหักพังหรือแสงสีเขียวประหลาด อย่างไรก็ตามในมันไม่ได้ปรากฏครั้งล่าสุดในปี 1998 แต่กระนั้นมันก็ยังเป็นตำนานที่มีชื่อเสียงของเรือผียุโรปอยู่ดี

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรือผีสิงในตำนาน เรื่อง เรือแมรี่ เซเลสต์ !!


            ปริศนาเรือแมรี่ เซเลสต์ ยังเป็นปริศนาที่มีชื่อเสียงจนถึงปัจจุบัน โดยเรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1872 เมื่อเรือบรรทุกสินค้าสัญชาติอังกฤษชื่อ เดอี กราเซีย เห็นเรือแมรี่ เซเลสต์ เรือใบสองเสาขนาด 100 ฟุต ลำหนึ่งที่ร้างคนและลอยอย่างไม่มีจุดมุ่งหมายกลางทะเลมหาสมุทรแอตแลนติก ตอนเหนือ ระหว่างประเทศโปตุเกส กับหมู่เกาะอะซอเรส ซึ่งเรือดังกล่าวแล่นจากนิวยอร์คสู่เจนัวในวันที่ 7 พฤศจิกายน

โดยสมาชิกเรือประกอบด้วย กัปตันบริกก์ ภรรยาซาราห์ ลูกสาวโซเฟีย และลูกเรือ รวมเป็น 11 คน ในเวลาต่อมาก็มีการสำรวจเรือแมรี่ เซเลเลสต์ ก็พบว่าไม่มีร่องรอยคนอยู่บนเรืออยู่เลย อีกทั้งสภาพในเรือก็น่าพิศวงเพราะทุกอย่างบนเรืออยู่ในสภาพที่ราวกับว่า เพิ่งมีคนอยู่ที่นั่น จนถึงเมื่อครู่ ที่โต๊ะอาหารว่างของกัปตันยังพบร่องรอยไข่ลวกกระเทาะเปลือกทิ้งไว้โดยไม่ตัก รับปะทาน ขนมปังและจานซุปยังวางอยู่บนโต๊ะ ไปป์ถูกวางไว้รอจุดไฟ รองเท้าบู้ธถูกวางทิ้งทั้งๆที่ยังขัดค้างไว้อยู่ สมุดโน้ตภรรยาเปิดคาเหมือนยังเล่นค้างอยู่ รูปการบ่งบอกชัดเจนว่าสละเรือเป็นไปอย่างเร่งรีบโดยไม่มีการเตรียมตัวมาก่อน

นอกจากนั้นสภาพห้องของเรือส่วนใหญ่ถูกรื้อกระจุยกระจาย ของหลายชิ้นตกแตกเต็มพื้นเหมือนมีเหตุต่อสู้กันบนเรือ แต่กระนั้นสินค้าที่เป็นสุรายังอยู่ปกติ(ปริมาณกว่า 1,500 บาร์เรล) บันทึกเดินเรือถูกฉีกขาดไปหลายหน้า แต่ก็ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นว่าคนทั้ง 10 หายไปไหนและหายไปได้อย่างไรกัน

และที่น่าตกใจก็คือ วันสุดท้ายที่มีการบันทึกคือวันที่ 25 พฤศจิกายน หรือประมาณ 10 วันมาแล้ว หากตำแหน่งเรือปัจจุบันจะพบว่าเรือแมรี่ เซเลสต์ กางใบแล่นมาโดยปราศจากคนบังคับเกือบ 100 ไมล์ มีหลายทฤษฏีที่อธิบายเรื่องลึกลับที่เกิดขึ้นกับเรือแมรี่ เซเลสต์ คนบนเรือถูกฆ่าโดยโจรสลัด หรือได้รับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อราจนประสาทหลอนและเสียสติ หรือเกิดจากผีและสัตว์จากจากทะเล หรือมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว แต่ทฤษฏีที่หลายคนยอมรับมากที่สุดคือเรือแมรี่ เซเลสต์เผชิญกับพายุหรือคลื่นลมแรง ทุกคนเลยสละเรือและต่อมาก็เสียชีวิตในทะเลทั้งหมด แต่ข้อสันนิษฐานนี้ก็ไม่สามารถไขปริศนาของมันได้จนเรือถูกขายต่อไป และท้ายที่สุด มันก็ถูกจมทิ้งเพื่อหวังเงินประกันใกล้ๆ เกาะเฮติ ในปี 1884 จนกลายเป็นปริศนาที่ไขไม่ออกจนถึงปัจจุบัน

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรือผีสิงในตำนาน เรื่อง เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมน !!


          คงไม่มีเรือผีที่ไหนแล้วที่ยิ่งใหญ่ไปกว่า “เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมน” ที่ออกหลอกหลอนคนในน่านน้ำทั่วโลกและได้เป็นแรงบันดาลใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด นิยายสยองขวัญ ภาพยนตร์ รวมทั้งเป็นชื่อเรือโจรสลัดภาพยนตร์ ไพเรทส์ ออฟ เดอะ แคริบเบียน และแม้กระทั่งโอเปร่าโดยเรือลำนี้ถูกกล่าวถึงครั้งแรกปลายปี 1700 ในหนังสือ “Voyage” และได้รับความนิยมในยุคนั้นและจากนั้นเป็นต้นมาตำนานนี้ก็แพร่หลายไปทั่วโลก

โดยตำนานมีอยู่ว่ากัปตันชาวดัตช์คนหนึ่งชื่อ แวน แดร์ เดคเคน (Van Der Decken) ได้นำเรือไปพบสภาพอากาศที่เลวร้ายในแหลมกู๊ด โฮป ประเทศแอฟริกาใต้ เขาพยายามนำเรือผ่าพายุนี้แต่ไม่เป็นผลจนเรือใกล้อัปปางซึ่งเขาโกรธมากเขาเลยสาบานแก่ฟ้าว่า “ข้าจะวนเวียนอยู่บริเวณแหลมนี้ ตราบฟ้าดินสลาย” และ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาและเรือได้กลายเป็นปีศาจที่ต้องคำสาปให้เดินทางในมหาสมุทรชั่วกัลปาวสาน ไม่สามารถเดินทางกลับบ้านได้ ตราบโลกนี้สิ้นสลาย

ฟลายอิ้ง ดัตช์แมนได้รับการบันทึกเป็นเอกสารมาตั้งแต่คริสต์สตวรรษที่ 17 และมีรายงานการพบเห็นเป็นครั้งคราวมาจนถึงคริสต์สตวรรษที่ 20 เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนมักปรากฏตัวในคืนที่มีหมอกหนาทึบ บางครั้งพบเห็นเป็นแสงประหลาดในเวลากลางคืน ในรูปของเรือสำเภาสามใบเสา และกัปตันผู้ซึ่งยังแต่งกายในแบบศตวรรษเก่าใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว กรีดเสียงหัวเราะบ้าคลั่งชวนขนลุก หลายคนเริ่มมีความเชื่อว่าหายนะมักจะตามมาหากใครที่ได้เห็นเรือลำนี้

เช่น ในปี ค.ศ.1881 คนประจำเรือของพระเจ้าจอร์จที่ 5 ได้เห็นเรือลำใหญ่ลึกลับปรากฏขึ้นทางด้านหัวเรือเมื่อเวลา 4.00น. และหลังจากนั้นไม่กี่วัน คนประจำเรือคนนั้นก็พลัดตกเสากระโดงเรือตายคาที่ ทุกวันนี้ก็ยังมีคนกล่าวอ้างอยู่เสมอว่าเห็นเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนยังคงรอนแรมอยู่เดียวดายกลางทะเลด้วยรูปลักษณ์อันเศร้าโศกและสยด สยองอยู่ ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ได้คำอธิบายปรากฏการณ์ฟลายอิงดัตช์แมน ว่าเป็นปรากฏการณ์ทางแสงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นมิราจหรือฟาตา มอร์กานา ที่เกิดจากการหักเห และการสะท้อน ที่พบเห็นในทะเล

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2562

ตำนานเฮี้ยน เรื่อง ตึกศูนย์เรียนรวม !!


          ใต้ตึกศูนย์เรียนรวม 4 จะมีสถาปัตยกรรมอันหนึ่งครับ เกือบ ๆ จะเรียกได้ว่าเตียงละ แต่มันพิสดารกว่านั้น เค้าว่าหากมานอนมานั่งเล่นบริเวณนี้ จะเริ่มได้ยินเสียงเด็ก ๆ วิ่งเล่นกัน ถ้าได้ยินแล้วให้แหงนหน้าขึ้นไป จะเจอกลุ่มผีเด็ก ชะโงกหน้ามาหัวเราะให้เราเต็มไปหมด

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ตำนานเฮี้ยน เรื่อง บันไดสำหรับคนอยากเห็นผี !!


             ที่ตึกบัณฑิตครับ จะมีบันไดด้านข้างตัวตึกอยู่ เค้าว่าถ้าอยากเห็นผีให้เราลองไปนอนที่บันไดนั้น แล้วแหงนหน้า ตั้งจิตแล้วพูดว่า หากวิญญาณมีอยู่จริง ขอให้แสดงอะไรออกมาก็ได้ ไม่ว่าจะมาในรูป รส กลิ่น เสียง แล้วเห็นว่าผีจะโผล่มาให้เห็นครับ

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ตำนานเฮี้ยน เรื่อง ตึก SCL !!


              เป็นตึกแล็บเคมีครับและน่าจะเป็นตึกที่มีเรื่องเล่าเยอะที่สุดของมหาวิทยาลัยนี้แล้ว ตั้งแต่หากยืนหน้าตึกแล้วมองลอดใต้หว่างขาขึ้นไป จะเห็นคนนั่งห้อยขาอยู่ที่ดาดฟ้าตึก หากไปอ่านหนังสือใต้ตึกตอนดึกๆ เห็นว่าบ้างก็เจอคนเลือดท่วมเดินผ่าน บ้างก็ว่าจะได้ยินเสียงสวดชินบัญชร (ไอ้เรื่องเสียงสวดชินบัญชรนี่ผมไขคดีได้เรียบร้อยครับ พี่ยามเค้าเฉลยว่า เสียงสวดที่ได้ยินกันน่ะ พวกยามกันเองนี่แหละเป็นคนเปิด แต่จะเปิดเพราะสาเหตุอะไร หรือเปิดให้ใคร? พี่ยามไม่ยอมบอกครับ ปล่อยเป็นปริศนาดำมืดต่อไป) สำหรับเรื่องตึก SCL มีเรื่องที่ผมไม่เข้าใจอยู่เรื่องเดียวครับ คือเค้าเล่าว่ามีคนเคยเห็นผีแม่บ้านที่ห้องน้ำหญิงชั้น 2 หรือ 3 ไม่แน่ใจ พวกผมก็ลองขึ้นไปกันดูครับ  เมื่อเข้าห้องน้ำหญิงไปก็พบกับคำเตือนว่า “อันตราย ห้ามเข้าห้องน้ำคนเดียว” เป็นคำเตือนที่ชวนสยองมากครับ ว่าทำไมห้องน้ำถึงต้องห้ามเข้าคนเดียว อีกทั้งยังเป็นห้องน้ำในตัวสถานที่อย่างมหาวิทยาลัยอีกต่างหาก ชวนสงสัยมาจนทุกวันนี้

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ตำนานเฮี้ยน เรื่อง นางเงือก !!


            ตอนได้ยินครั้งแรกตื่นเต้นมากครับ ผมอยากเจอนางเงือกตัวเป็น ๆ มาทั้งชีวิต ก็ไปที่ตึกประมงตึกใหญ่เลยครับ (ผมไม่รู้ว่าชื่อเต็มๆ คืออะไร) โชนบอกว่าห้องน้ำชั้น 3 เคยมีรุ่นพี่คนหนึ่งล้างหน้าอยู่ๆ ไฟก็ดับ รุ่นพี่คนนี้เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่องไปที่สวิตช์ไฟตรงประตู จังหวะที่เอื้อมมือไปจะเปิดสวิตช์นั้นเองก็มีมือลื่นๆ เป็นเมือก มีเกล็ดคล้ายเกล็ดปลามาคว้าหมับเข้าที่มือ

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ตำนานเฮี้ยน เรื่อง ตึกเพาะเลี้ยง คณะประมง !!


            น้องโชนบอกว่าที่ตึกนี้มีผีเดินกันพลุกพล่านเลยครับ และจากที่ผมไปเดินสำรวจดูจะมีผีก็ไม่แปลกครับ ตึกเก่ามาก เถาวัลย์นี่ขึ้นตามหน้าต่างกันสร้างบรรยากาศน่าดู โชนบอกว่าถ้าจุดไคลแม็กซ์เลยต้องหน้าต่างชั้น 2 ครับ รุ่นพี่ของโชนบอกว่ามีเวลาเรียน 4 ปี ต้องได้เจอผีตรงนี้เข้าซักวัน

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2562

ตำนานเฮี้ยน เรื่อง พ.ว. 9 ศพ !!


                  เรื่องนี้เกิดขึ้นข้างๆ รั้วมหาวิทยาลัยครับ หากใครยังจำกันได้ เมื่ออดีตเคยมีข่าวเด็กสาวคนหนึ่งได้ซิ่งรถเก๋งชนเข้ากับรถตู้โดยสารบนทางด่วน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตร่างกระเด็นออกมานอกตัวรถ สภาพศพกระจัดกระจาย รวมแล้วเสียชีวิตถึง 9 ศพด้วยกัน จากภาพข่าวนี่น่ากลัวมากครับ บางคนนี่ร่างห้อยคาอยู่กับสะพายลอยเป็นที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

 เรื่องต่อไปนี้ พี่วินมอเตอร์ไซค์ข้างสะพานลอยดังกล่าว เป็นผู้เล่าให้ฟังครับ ว่าช่วงหลังเกิดเหตุใหม่ๆ นี่เฮี้ยนมาก จะต้องได้ยินเสียงดังกระแทกบนสะพานลอยเวลาเดิม ๆ ทุกวัน (เสียงเหมือนศพตกลงมากระแทกสะพาน) บางคนโดนถึงกับว่า มีผู้โดยสารเรียกให้ไปส่ง พอถึงที่หมายหันกลับมาไม่มีใคร พี่วินแกยังเล่าว่ามีช่วงนึงที่ตกเย็นปั๊บ ไม่มีวินคนไหนกล้าอยู่กันเลยล่ะครับ ขอกลับบ้านไปอยู่กับลูกกับเมียดีกว่า ผมไปดูสะพานที่ว่ามาด้วยครับ เมื่อราวๆ ปีครึ่งถึง 2 ปีที่แล้ว ตามยอดต้นไม้ติดกับสะพานยังมีสายสิญจน์พันอยู่เลยนะครับ สร้างความกดดันตั้งแต่ยังไม่ขึ้นกันเลยทีเดียว พอเดินขึ้นไป (เวลาราวเที่ยงคืน) ก็ยอมรับล่ะครับ ว่าจากเรื่องเล่าที่ได้ฟัง จากประวัติที่มีผู้เสียชีวิตตรงนี้จริงๆ ทำให้ประสาทหลอนเตลิดไปได้เหมือนกันทั้งๆ ที่ถ้าใครเคยเห็นจุดเกิดเหตุจะเข้าใจครับ ว่ามันไม่น่ากลัวแม้แต่น้อย รถข้างล่างนี่วิ่งกันขวักไขว่ตลอด แต่ตอนนั้นจะก้าวเท้าได้แต่ละก้าวนี่บอกเลยว่าหนักมากครับ ความกลัวกดทับ ตรงจุดที่มีคนตกลงมาเสียชีวิตห้อยติดกับสะพาน ยังมีดอกไม้มาลัยอยู่เลยนะครับ สภาพยังใหม่ด้วย 

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ตำนานเฮี้ยน เรื่อง ตึกหลอน !!


     จะมีตึกอยู่ตึกหนึ่งครับ (ขอสงวนชื่อตึกครับ น้องเค้าขอมา) ว่ากันว่าเมื่อตอนก่อสร้างดำเนินมาถึงขั้นทาสี ก็ได้มีคนงานเกิดเสียชีวิตลง โดยก่อนเสียเค้าได้ทาสีค้างไว้ยังไม่เสร็จ อาถรรพ์เกิดขึ้นเมื่อคนงานคนที่มาทาสีต่อจากเค้าก็เสียชีวิตลงตามไปเช่นกัน จนเกิดเป็นเรื่องเล่าขานว่าหากใครมาทาสีตรงจุดนี้ จะมีอันเป็นไป ผมได้ไปดูที่เกิดเหตุมาครับ ลักษณะกำแพงเป็นจุดด่าง ๆ ไม่ได้ทาสีจริงอย่างที่ว่า และก็ลองเอาสีไปทาทับมาด้วยครับ ทาไปตั้งแต่ปีที่แล้ว จนถึงวินาทีนี้ผมก็ยังไม่ตายครับ ยังมานั่งพิมพ์เรื่องผีให้ทุกท่านอ่านกันเพลิน ๆ เอาเป็นว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงครับ

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ตำนานเฮี้ยน เรื่อง อนุสาวรีย์สามเสือแห่งเกษตร !!


           เป็นอนุสาวรีย์รูปเหมือนของสามบูรพาจารย์ ผู้ริเริ่มสถาปนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ครับ เรื่องเล่าบอกว่าทั้งสามท่านนี้ชอบเล่นหมากรุกมาก หากใครนำหมากรุกมาเล่นหน้าอนุสาวรีย์ดังกล่าวนี้ตอนเที่ยงคืน เค้าว่าหนึ่งในสามท่านนี้จะลงมาเล่นด้วยครับ และต่อจากนี้จะเป็นคิวของน้องโชนแล้วครับ ที่จะพาเราทัวร์คณะประมง ประโยคแรกที่โชนพูดกับผมนี่น่ากลัวกว่าผีอีกครับ โชนหันมาถามผมว่า “พี่เห็นอะไรในตัวผมไหม?” แล้วโชนก็ผายมือออก ตอนนั้นยอมรับความงงกับความกลัวผสมปนเป

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

ตำนานเฮี้ยน เรื่อง Loving Way !!


         เรื่องผีแฝงความโรแมนติกแห่งมหาวิทยาลัยนี้ครับ เป็นอีกเรื่องที่หากค้นหาหัวข้อเรื่องผีเกษตรศาสตร์ ทุกเว็บต้องมีเรื่อง เลิฟวิ่ง เวย์ รวมอยู่ด้วย ถนนเส้นนี้เด็กเกษตรฯ ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดีครับ เพราะเชื่อว่าหากกลางวันหนุ่มสาวมาปั่นจักรยานซ้อนกัน ดวงชะตาก็จะนำพาให้ได้เป็นแฟนกัน แต่หากมาปั่นกลางคืน โดยคนปั่นกับคนซ้อนนั่งหันหลังชนกัน เค้าว่าคนที่ซ้อนจะเห็นอะไรบางอย่างระหว่างปั่นอยู่ในถนนเส้นนี้ครับ

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรื่องเล่าหลอนๆ รอบรั้ววิทยาลัยนาฏศิลป เรื่อง วิทยาลัยนาฏศิลป์ เชียงใหม่ !!


           เรื่องมีอยู่ว่า ในทุกๆ ปี ที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ เขาจะมีนิทรรศกาลประมาณ 10 กว่าวัน แต่มีบางปีวงปี่พาทย์ไม้แข็งไปนอนข้างห้องเก็บของ (ห้องเก็บของที่นั่นก็กว้าง 18 เมตร ยาว 32 เมตร มีทางไว้เดินแล้วข้างๆ เป็นที่เก็บเศียรของตัวละคร เครื่องดนตรี ฯลฯ) โดยคืนนั้นพวกวงปี่พาทย์เขาแสดงจนเพลียมากแล้ว จะหลับกันแล้วก็ได้ยินเสียงขับเสียงพา รู้สึกว่าจะเป็นตอนที่นางผีเสื้อสมุทรเขาจะแปลงร่างเป็นผู้หญิงรูปงาม มาจีบพระอภัยมณี แล้วพวกวงปี่พาทย์ก็ไป ปรากฎว่าห้องมันปิด แล้วเสียงก็หายไป ทีนี้ก็เลยกลับไปนอนก็มีเสียงอีก แล้วก็หายไป ทีนี้พวกเขาไปหาครูที่เฝ้าเวรอยู่ แล้วครูเวรก็ไปเดินเข้าไปในห้อง แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ครูเวรให้พวกวงปี่พาทย์นอน แล้วครูเขาก็นั่งเฝ้าไว้ อยู่ดีๆ ผ่านไปสักพักครูเวรก็ได้ยินเสียงเหมือนที่พวกวงปี่พาทย์ได้ยิน จึงเดินตามเสียงไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เจออะไรเลย พอรุ่งเช้าทั้งเด็กแล้วก็ครูเวรก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มีผีอยู่ในห้องนี้ พวกเขาเลยไปถามภารโรง เขาบอกว่าที่นี่เคยเป็นที่แสดงของคณะวงต่างๆ และพ่อของภารโรงชอบมาเปิดวิทยุฟังบ่อยๆ และก็มีหญิงคนนึงชอบมานั่งกลางห้องแล้วขับเสียงพาบทผีเสื้อสมุทรนั่นแหละ

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2562

เรื่องเล่าหลอนๆ รอบรั้ววิทยาลัยนาฏศิลป เรื่อง ห้องดนตรีไทย !!


               เคยมีอาจารย์นอนที่โรงเรียน เพราะว่าเตรียมการแสดงเสร็จจนดึก พอประมาณซักเที่ยงคืนอาจารย์ได้ยินเสียงคนเล่นดนตรีไทย มันจะเป็นไปได้ยังไงนี่มันเที่ยงคืนแล้ว แต่มีอาจารย์คนนึงเล่าว่า เขาเห็นผู้หญิงคนนึงกำลังหวีผมในกระจกและหันมายิ้มให้อาจารย์ ซึ่งทุกคนคิกว่าน่าจะเป็นอาจารย์ท่านก่อนๆ ที่เสียชีวิตไปแล้ว

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรื่องเล่าหลอนๆ รอบรั้ววิทยาลัยนาฏศิลป เรื่อง หอใน วิทยาลัยนาฏศิลป !!


           เรื่องมีอยู่ว่า ตอนนั้นเรากับเพื่อนเป็นเด็กวิทยาลัยนาฏศิลป และที่วิทยาลัยจะมีหอข้างใน คืนนั้นเป็นคืนวันศุกร์ ซึ่งจะมีคนกลับบ้านเยอะแยะ เรากับเพื่อนๆ ในกลุ่มเลยมานอนห้องเดียวกัน (ในหอพักมีทั้งหมด 4 ชั้น ชั้นละประมาณ 7-8 ห้อง แต่จะใช้ตู้เหล็กขนาดเล็กกั้นห้อง ฉะนั้นจึงสามารถที่จะเดินหรือตะโกนคุยกันกับเพื่อนต่างห้องได้ ละเตียงก็เป็นเตียง 2 ชั้น) แต่ด้วยความที่กลุ่มฉันมีทั้งหมด 7 คน และด้วยเตียงมีทั้งหมด 4 เตียง 8 ที่นอน จึงทำให้เหลือที่นอน 1 ที่ คืนนั้นฉันกับเพื่อนนอนคุยกับจนดึกทั้งๆ ที่ปิดไฟ กว่าจะหลับก็ปาเข้าไปเกือบตี 1 พอฉันเริ่มหลับไปพร้อมกับเพื่อนๆ ได้สักพัก เวลาประมาณตี 3 ครึ่ง ฉันเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาด้วยความปวดฉี่ และหน้าต่างที่อยู่ตรงข้ามกับฉันที่เปิดไว้ทำให้ฉันรู้สึกเริ่มหวั่นกลัว นิดๆ ด้วยความปวดฉี่มากกว่าสิ่งอื่นใด ฉันต้องไปเข้าห้องน้ำ และด้วยความที่ไม่อยากรบกวนเพื่อนให้ไปด้วย ฉันจึงตัดสินใจไปคนเดียว

ทันใดที่ฉันลุกขึ้นจากเตียง ฉันก็ต้องตะลึงกับสิ่งที่เห็น ฉันเห็นขาคนห้อยลงมาจากเตียงที่ว่างอยู่ ใส่จงกระเบนสีดำกำลังนั่งแกว่งขา ฉันไม่กล้าที่จะมองหน้า และเชื่อว่าอาจจะเป็นครูในวิทยาลัย ฉันจึงตัดสินใจเดินไปเข้าห้องน้ำที่บันไดอย่างสงบ ด้วยระยะทางที่ห้องของฉันอยู่ในที่สุดของชั้น และห้องน้ำก็อยู่ติดกับบันได ทำให้ความหวาดระแวงมีอยู่มากบวกกับความมืดที่ครอบคลุมอยู่ แล้วฉันก็เสร็จธุระของฉันปิดไฟและกลับเข้าห้องนอน ขณะที่ฉันเดินมาที่เตียง ครูที่นั่งอยู่นั้นก็ยังไม่ไปไหน ยังคงนั่งแกว่งขาอยู่ ฉันตัดสินใจกล้าๆ กลัวๆ มองหน้าท่าน แล้วการตัดสินใจของฉันก็ทำให้มองได้แค่ลำตัวไม่กล้ามองหน้าท่าน จากนั้นฉันก็พยายามสงบสติตัวเอง ฉันไม่ร้องกรีดหรือโวยวายใดๆ เมื่อเห็นท่าน ฉันพยายามนอนให้หลับเช่นเดิม และแล้วก็สำเร็จ ตื่นเช้ามาฉันเล่าสิ่งที่พบให้เพื่อนฟัง เพื่อนๆ ต่างสยองเป็นแถบๆ

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรื่องเล่าหลอนๆ รอบรั้ววิทยาลัยนาฏศิลป เรื่อง ต้นลั่นทม หน้าโบสถ์วังหน้า !!


           เคยมีนักศึกษาชั้นสูงที่เรียนเกี่ยวกับการทำรูปปั้นต้องอยู่ทำงานจนดึก พอซักประมาณ 5 ทุ่ม เขากับเพื่อน 1 คนได้ลงมาโทรศัพท์ที่หน้าต้นลั่นทม  ระหว่างที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่นั้น เพื่อนอีกคนก็เหลือบไปเห็น ผู้หญิงผมยาวแต่งชุดไทยกำลังนั่งแกว่งขาที่ต้นลั่นทม ตอนแรกก็นึกว่าตาฝาดก็ไม่ได้เอะใจอะไร แต่พอโทรศัพท์เสร็จแล้วออกมาจากตู้โทรศัพท์นั่นแหละชัดเลย เป็นผู้หญิงชุดไทยกำลังห้ออยหัวและหันมามองพวกเขา ซึ่งพวกเขาตกใจมากเป็นลมสลบไป และก็ไม่กล้ามาทำงานตอนดึกอีกเลย

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรื่องเล่าหลอนๆ รอบรั้ววิทยาลัยนาฏศิลป เรื่อง ณ ลานมรกต !!


            เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว เคยมีนักเรียนได้โอกาสไปแสดงที่ต่างประเทศ ทั้งตัวพระ-ตัวนาง แต่แล้วก็เกิดเหตุเครื่องบินตก ทำให้ 2 คนนั้น
ตายคาที่ อาจารย์เสียใจมากเนื่องจากนักเรียน 2 คนนี้เป็นคนดีเรียนเก่ง ก็เลยปั้นหุ่นอนุสรณ์เด็ก 2 คนนี้ไว้ ซึ่งก็มีผอ. เคยเห็น 2 คนนี้ออกมาจากตู้  บางครั้งก็เหมือนกับว่ารูปปั้นขยับได้ แต่ที่รูปปั้นนั้นได้มีโซ่ล่ามไว้เพื่อไม่ให้รูปปั้นล้มลงมา แต่พอจะเปลี่ยนชุดให้กลับเห็นว่า ขาหุ่นที่มีโซ่ล่ามไว้กลับเป็นรอยช้ำ ซึ่งมันแปลกมากหลังจากนั้นก็ไม่ได้เอาโซ่ล่ามไว้อีกเลย และในคืนวันพฤหัสมักจะมีคนเห็น 2 คนนี้ ออกมารำให้พระพิฆเนศดู

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เรื่องเล่าหลอนๆ รอบรั้ววิทยาลัยนาฏศิลป เรื่อง ห้องเรียนชั้น 2 ของตึกเก่า!!


                      เคยมีนักเรียนผูกคอตายเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ภารโรงและอาจารย์ที่อยู่เวรเคยพบเห็นบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องไห้ หรือเห็นคนนั่งอยู่ในห้องคนเดียวแล้วนั่งก้มหน้า พอเห็นแบบนี้แล้วก็ไม่มีใครกล้าไปตรวจตึกนั้นอีกเลยจนถึงทุกวันนี้… เชือกนั้นก็ยังคงอยู่ในห้องเรียนนั้นเหมือนเดิม

ปล.บทความนี้ทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

งานศพหลาน!!

           เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณป้าของเราเล่าให้ฟังอีกทีค่ะ ย้อนกลับไปประมาณ 20 ปีก่อน ลุงกับป้าได้ข่าวว่าหลานชายเสียชีวิตที่จังหวัดส...